ทำไมในพระคัมภีร์ จึงสอนว่าเมื่อเขาตบแก้มซ้าย ทำไมต้องยื่นอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย?

ทำไมในพระคัมภีร์ จึงสอนว่าเมื่อเขาตบแก้มซ้าย

ทำไมต้องยื่นอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย?

          

“ผู้ใด​ตบ​แก้ม​ท่าน​ข้าง​หนึ่งจง​หัน​แก้ม​อีก​ข้าง​หนึ่ง​ให้​เขา​ตบ​ด้วยผู้ใด​เอา​เสื้อคลุม​ของ​ท่าน​ไปจง​ปล่อย​ให้​เขา​เอา​เสื้อ​ยาว​ไป​ด้วย” (ลก 6:29)

“แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า อย่าโต้ตอบคนชั่ว ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย”  (มธ 5:39)

หากเราถนัดมือขวาและยืนหันหน้าเข้าหาอีกคนหนึ่ง เราจะตบแก้มขวาของเขาได้อย่างไร ?

แน่นอนว่าคงไม่มีใครพยายามบิดแขนของตนเพื่อจะตบแก้มขวาของอีกคนหนึ่ง แต่คงใช้หลังมือตบแทน (backhand)

แต่การใช้หลังมือตบนั้น กฎหมายยิวถือว่าเป็นการ “ดูหมิ่นสบประมาท” ผู้อื่นเป็นสองเท่าของการใช้ฝ่ามือ

ประเด็นของพระเยซูเจ้าจึงอยู่ที่ว่า “ไม่ว่าผู้อื่นจะดูหมิ่นสบประมาทเรามากเพียงใด เราจะต้องไม่โกรธเคืองหรือแก้เผ็ด”

พระองค์เองก็ทรงถูกชาวยิวสบประมาทว่าเป็นนักกิน นักดื่ม เป็นเพื่อนกับคนเก็บภาษีและคนบาป 18ยอห์น​มาไม่​กินไม่​ดื่มเขา​ก็​ว่า ‘คน​นี้​มี​ปิศาจ​สิง’ 19บุตร​แห่ง​มนุษย์​มากิน​และ​ดื่มเขา​ก็​ว่า ‘ดู​ซินัก​กินนัก​ดื่มเป็นเพื่อน​กับ​คน​เก็บ​ภาษี​และ​คน​บาป’ แต่​พระ​ปรีชา​ญาณ​ของ​พระ​เจ้า​ผ่าน​การ​พิสูจน์​แล้ว​ว่า​ถูกต้อง​โดย​กิจการ” (มธ 11:19)

คริสตชนเริ่มแรกก็ถูกใส่ความว่ากินเนื้อเด็ก เป็นนักวางเพลิง ประพฤติผิดศีลธรรม ฯลฯ

เช่นเดียวกัน เราอาจจะไม่เคยถูกใครตบแก้มมาก่อน แต่คงไม่มีใครในพวกเรารอดพ้นจากการถูกดูหมิ่นสบประมาท แม้แต่เวลามาวัด หลายคนคงเคยรู้สึกว่าถูกดูหมิ่นเพราะไม่ได้รับความสนใจจากพระสงฆ์หรือผู้อื่นเท่าที่ควร ไม่ได้นั่งในที่เหมาะสม ไม่ได้รับเชิญให้ทำนั่นทำนี่ ฯลฯ

แม้นี่จะเป็นปัญหาที่เราสัมผัสอยู่ทุกวันก็จริง แต่คริสตชนแท้พึงเลียนแบบอย่างของพระอาจารย์เจ้าผู้ทรงยอมรับการดูหมิ่นสบประมาทโดยปราศจากความขุ่นเคืองใดๆ ทั้งสิ้น