นิรันดร์ของกาลเวลา

(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

การเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ กาลเวลาเปลี่ยนไป สรรพสิ่งย่อมเปลี่ยนตาม
ฤดูกาลหมุนเวียนเปลี่ยนไป ใจคนยังมีสั่นมีไหว สั่นคลอนได้ 
ในความเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาเห็นผู้คนตามถนนหนทาง ต่างดิ้นรน
เร่งรีบ รวบรัด และต่างก็เป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน
ใบหน้าเหมือนกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง บ้างก็หน้าบึ้งตึงรอยยิ้มหลบอยู่ใต้มุมปาก 
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง ผู้คนต่างมีวิถีชีวิตเป็นของตัวเอง เป็นปัจเจกชน
มีโลกส่วนตัวพื้นที่ส่วนตนเอาไว้ซุกซ่อนความลี้ลับที่เป็นสมบัติติดตัว
ชอบอยู่กับเครื่องมากกว่าอยู่กับผู้คน
คุยกันผ่านการสื่อสารไร้สายมากกว่าคุยด้วยการนั่งสบตาจ้องหน้า
อยู่กับเพื่อนคนหนึ่งกลับโทรศัพท์ไปหาอีกคน เป็นแนวของคนรุ่นใหม่ใจไร้สาย 
บนความเปลี่ยนแปลงกับการผ่านไปมาของผู้คน ที่รู้สึกเหมือนมีวัตถุที่ผ่านไป
อยู่ในที่ที่เดียวกันก็ไม่ค่อยได้พูดคุย สัมพันธภาพในหน่วยงาน ในองค์กร
ในตึกอาคารมีน้อยเสียกว่าจำนวนชั้นของอาคารก่อสร้าง

บนความเปลี่ยนแปลงกับวิถีชีวิตที่ต้องมาอาศัยตึกสูง แต่ห้องเดียว มากผู้คน
แต่โดดเดี่ยวเดียวดาย จนแล้วจนรอด วันเปลี่ยนเดือนย้าย
ก็ไม่เคยได้คุยกับคนในชุมชนแนวตั้งแห่งนี้ โลกเปลี่ยนไปสู่การเชื่อมโยงได้ทั่วโลก
แต่ข้างห้องกลับไม่เคยทักทาย

ความเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ แต่ความเห็นแก่ตัวของคนเป็นเงาของนิรันดร์
ระบบสังคมที่เปลี่ยนแปลงกลับทำให้ผู้คนใช้ความเห็นแก่ตัวส่งเสริม
เสริมสร้างให้วิถีชีวิตเข้าสู่มุมอับ เข้าสู่ความเป็นเอกเทศ เข้าสู่ความอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว... 
นักดนตรี เสียงเพลง นักร้อง นักแสดง
เปลี่ยนแปลงจากความสุนทรียะกลายเป็นพานิชศิลป์เต็มรูปแบบ
ที่แอบทิ้งความเขินอายไว้เบื้องหลัง ความเปลี่ยนแปลงอันเป็นนิรันดร์
หมุนเวียนซ้ำแล้วซ้ำอีก ชา ชา ชิน ชิน บนความเปลี่ยนแปลงอันนิรันดร์
กัดกร่อนผู้คนมากขึ้นและมากขึ้นในทุกวันเวลา
ความเปลี่ยนแปลงในนิยามของความแปลกหน้าในขณะที่เราอยู่ใกล้ 
ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนหลายคนปรับตัวไม่ทัน
ปฏิเสธความเป็นนิรันดร์ของการเปลี่ยนแปลง
จมปลักอยู่ตามครรลองเก่าๆในกระแสธารทางสังคมแบบใหม่รุ่นล่าสุด
แล้วจะอยู่ได้อย่างไรเล่า? คนเราก็ชอบหาเหตุผล
ข้ออ้างเพื่อมาสนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของการต้านทานกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลง
ไม่ยอมปรับกลยุทธ์ ไม่ยอมเรียนรู้และไม่มีความคิดสร้างสรรค์ จริงหรือไม่
วิถีชีวิตของคนเรามักจะถูกกำหนดด้วยกระแสของสังคม บางอย่างก็ดูพัฒนาขึ้น

แต่บางอย่างกลับเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
โดยเฉพาะเมื่อโลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคของข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยี
ซึ่งทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและ
การคาดการณ์เพื่อเตรียมวางแผนไว้ล่วงหน้าก็ทำได้ยากยิ่ง 
ถ้าหากในเช้าวันหนึ่งเมื่อตื่นขึ้น เราอยู่ในที่ที่มีเพียงตัวคนเดียว
พร้อมกับเครื่องอำนวยความสะดวก มันเป็นความเปลี่ยนแปลงแบบกะทันหัน
ทำอะไรก็ไม่เป็น จะวิ่งออกจากบ้านไปข้างบ้าน ข้างห้องก็คงจะเหนื่อยเปล่า
เพราะว่าสังคมตอนนี้ ลำพังตัวเองก็ยังจะเอาตัวไม่รอดแล้วใครจะมาสนใจ 
สำหรับการตั้งรับความเปลี่ยนแปลง
เพราะแต่ละคนก็มีวิธีแก้ปัญหาของตัวเองไม่เหมือนกัน
แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่ต้องมีเสมอ คือ สติปัญญาและความวางใจในพระเจ้า
เพราะพระองค์เป็นเจ้าของของความนิรันดร์ 
เมื่อความเปลี่ยนแปลงมาถึง พึงอย่าได้นึกว่าเป็นเรื่องเลวร้ายหรือดีมากเสมอไป
ขอให้มองว่ามันเป็นเรื่องหนึ่งที่มาแล้ว และผ่านไป ตามเงื่อนไขของเวลา
เมื่อมันแวะมาเคาะประตูบ้าน จงเปิดรับมันด้วยความยินดี เพราะว่าทุกความเปลี่ยนแปลง
ย่อมนำมาซึ่งบททดสอบเพื่อการเจริญเติบโตของมนุษย์เสมอ และถ้ามันเป็นเพียงบททดสอบสักบท
ทำไมเราไม่ร่วมกันค่อยๆ แก้มันไป ตรึกตรองมันไปอย่างคนที่เข้าใจความเปลี่ยนแปลง
อย่างคนที่เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต 
โลกผันผ่านกับการเปลี่ยนแปลงมานับครั้งไม่ถ้วน ล้วนผ่านบททดสอบ บทแล้วบทเล่า
แต่ก็สามารถเคลื่อนผ่าน ผลัดใบผลิดอกออกผล เป็นเผ่าพันธุ์ใหม่ที่งดงามเสมอมา
ใครจะไปรู้ว่าวันนี้เรากำลังยืนอยู่บนเส้นที่คาบเกี่ยวของการเปลี่ยนแปลง
กำลังยืนอยู่บนขอบเขตแห่งนิรันดร์เส้นนี้ หากเราข้ามไปได้ชีวิตก็จะงดงามและแข็งแกร่ง
บนหนทางชีวิตความเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์
โดยมีความรักของพระเจ้าที่จะอยู่กับมนุษย์เป็นอมตะนิรันดร์กาลตราบฟ้าดินสลาย
ที่จะช่วยให้เราควรค่าความเป็นคน..

 

โดย คุณสุญาโณ จงตระกูลศิริ