ชีวิตที่คุ้มค่า

(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

วันแรกที่พวกเราเริ่มการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น
อาจารย์ของเราได้เข้ามาแนะนำตัว
และบอกให้พวกเราทำความรู้จักกับคนอื่น ๆ ที่เราไม่รู้จักมาก่อน
ผมยืนขึ้นแล้วมองไปรอบ ๆ และมีมือ ๆ หนึ่ง เอื้อมมาจับบ่าของผม
ผมหันไปพบกับหญิงชราร่างเล็ก ผิวหนังเหี่ยวย่น
ที่ส่งรอยยิ้มอันเป็นประกายมาให้ผม รอยยิ้มนั้นทำให้เธอดูสดใสอย่างยิ่ง
หญิงชราคนนั้นกล่าวขึ้นว่า

"สวัสดี รูปหล่อ ฉันชื่อเจียจี๋ อายุแปดสิบเก้าแล้ว มาให้ฉันกอดสักทีสิ"

ผมหัวเราะกับท่าทางของเธอ และตอบอย่างร่าเริงว่า

"แน่นอน ได้สิครับ" แล้วเธอก็กอดผมอย่างแรง

ผมถามเธอว่า "ทำไมคุณถึงมาเรียนมหาวิทยาลัย เอาตอนที่อายุน้อยและ
ไร้เดียงสาอย่างนี้ละ.. "

เธอตอบด้วยเสียงปนหัวเราะว่า

"ฉันมาหาสามีรวย ๆ ที่ฉันจะได้แต่งงานด้วย แล้วมีลูกสักสองสามคน..."

ผมขัดจังหวะเธอ โดยถามว่า "ไม่เอาครับ.. ถามจริง ๆ "

ผมสงสัยจริง ๆ ว่า อะไรทำให้เธอมาเรียน ที่นี่ตอนที่อายุขนาดนี้ และเธอตอบว่า

"ฉันฝันมานานแล้วว่าฉันจะได้ปริญญา
และตอนนี้ฉันก็กำลังจะได้ปริญญาที่ฉันฝัน"

หลังเลิกเรียนวิชานั้น เราเดินไปที่อาคารสโมสรนักศึกษาด้วยกัน
และนั่งกินพายไข่กับน้ำผลไม้ด้วยกัน เรากลายเป็นเพื่อนกันในทันที

ตลอดสามเดือนหลังจากนั้น เราจะออกจากชั้นเรียนพร้อมกัน
และจะไปนั่งคุยกันไม่หยุด ผมนั้นประหลาดใจเสมอเมื่อได้ฟัง "ยานเวลา"
ลำนี้แบ่งปันความรู้ และประสบการณ์ของเธอให้กับผม

ตลอดปีนั้น เจียจี๋ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยของเรา
และเธอนั้นจะเป็นเพื่อนได้กับทุกคนในทุกที่ที่เธอไป เธอรักที่จะแต่งตัวดี ๆ
และดื่มด่ำอยู่กับความสนใจ ที่นักศึกษาคนอื่น ๆ
มีให้กับเธอ เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่

เมื่อถึงตอนสิ้นสุดภาคการศึกษา เราได้เชิญเจียจี๋ให้มาพูดที่งานเลี้ยง
ของทีมบาสของเรา ผมไม่เคยลืมเลยว่า เธอได้สอนอะไรให้กับเรา
พิธีกรแนะนำตัวเธอ และเธอก็เดินขึ้นมาที่แท่น ตอนที่เธอกำลังเตรียมตัว
ที่จะพูดตามที่เธอตั้งใจนั้น เธอทำการ์ดที่บันทึกเรื่องที่เธอจะพูดตกพื้น
เธอทั้งอาย ทั้งประหม่าแต่เธอโน้มตัวเข้าหาไมโครโฟนแล้วบอกว่า

"ขอโทษด้วยนะ ที่ฉันซุ่มซ่าม ฉันเลิกกินเบียร์มาตั้งนานแล้ว
แต่วิสกี้พวกนี้มันแรงจริง ๆ ... ฉันคงจะเอาบทของฉันมาเรียงใหม่ไม่ทันแล้ว
งั้นฉันก็คงได้แค่บอกเรื่องที่ฉันรู้ให้กับพวกคุณก็แล้วกัน"

พวกเราทุกคนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ตอนที่เธอเริ่มต้นว่า

"พวกเราทุกคนนั้น ไม่ได้หยุดเล่นเพราะเราแก่หรอก
แต่เราแก่เพราะว่าเราหยุดเล่น ที่จริงแล้วมีเคล็ดลับสู่การที่จะยังหนุ่มสาวอยู่เสมอ
มีความสุขและประสบความสำเร็จอยู่ 4 ประการ

1) พวกคุณจะต้องหัวเราะ และมีเรื่องสนุก ๆ ขำขันทุกวัน

2) พวกคุณจะต้องมีความฝัน เมื่อไรก็ตามที่คุณสูญเสียความฝันของคุณไป
    คุณจะตาย มีคนมากมายที่ยังเดินไป เดินมาอยู่ทั้ง ๆ ที่ตายไปแล้วและ
    ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว..

3) การที่คุณ "แก่ขึ้น" กับ "เติบโตขึ้น" นั้นมันต่างกันมาก ถ้าคุณอายุสิบเก้า
    แล้วนอนอยู่บนเตียงเฉย ๆ ปีหนึ่งและไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย
    ตลอดทั้งปี คุณก็จะอายุยี่สิบ ถ้าฉันอายุแปดสิบเก้า แล้วนอนเฉย ๆ
    ไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งปี ฉันก็จะอายุเก้าสิบ ทุก ๆ คนนั้นจะแก่ขึ้น
    ทั้งนั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยความสามารถอะไรเลยประเด็นของการ
    เติบโตขึ้นนั้นอยู่ที่การแสวงหาโอกาสในการเปลี่ยนแปลง

4) อย่าทิ้งอะไรไว้ให้เสียใจภายหลัง คนสูงอายุส่วนใหญ่นั้น
    ไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว แต่มักจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ
     คนที่กลัวความตายนั้น มีแต่คนที่ยังมีสิ่งที่ต้องเสียใจค้างอยู่"

เธอจบการพูดของ เธอด้วยการร้องเพลง "ซาน เหนียน" อย่างกล้าหาญ
และเธอได้แนะให้พวกเราทุกคนศึกษาเนื้อร้องของเพลงนั้น
และเอาความหมายเหล่านั้นมา ใช้กับชีวิตประจำวันของพวกเรา
เมื่อสิ้นปีการศึกษานั้น เจียจี๋ได้รับปริญญาที่เธอได้เริ่มฝันไว้เมื่อนานมาแล้ว

หนึ่งสัปดาห์หลังจบการศึกษา เจียจี๋จากไปอย่างสงบ เธอนอนหลับไป
และไม่ตื่นขึ้นอีกเลย นักศึกษากว่าสองพันคนไปร่วมพิธีศพของเธอ
เพื่อแสดงความเคารพต่อหญิงชราผู้วิเศษ ผู้ได้สอนให้พวกเขาได้รู้
ด้วยการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า .....

"ไม่มีคำว่าสายเกินไป ที่จะเป็นทุกสิ่งที่คุณสามารถเป็นได้
การแก่ขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การเติบโตขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้
เราอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ แต่เราจะมีชีวิตอยู่เพราะสิ่งที่เราให้ไป ..."

 

โดย คุณสุญาโณ จงตระกูลศิริ