ก้าวไปกับโป๊ป #374 : ข้าพเจ้าชอบคิดว่าพระศาสนจักรคือคนที่มีความเชื่อในพระเจ้า (I like to think of the Church as God’s faithful people)



ระหว่างการประชุมสมัชชาครั้งที่ 16 การประชุมย่อยที่ 18 ที่จัดให้มีขึ้นในตอนบ่ายของวันพุธที่ 25 ตุลาคม 2023 พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงเน้นย้ำถึงความหมายของพระศาสนจักรจัก รในฐานะผู้คนที่มีความเชื่อในพระเจ้า และการไม่มีข้อผิดพลาดในความเชื่อ

ข้าพเจ้าชอบคิดว่า พระศาสนจักรเป็นบุคคลที่มีความเชื่อในพระเจ้า เป็นนักบุญและเป็นคนบาป เป็นบุคคลที่ถูกเรียกให้มาร่วมชุมนุมกัน ด้วยแรงบันดาลใจแห่งบุญลาภ และคำสั่งของพระเยซูเจ้า ให้ออกไปประกาศพระนามของพระองค์ ในพระวรสารของนักบุญมัทธิวบทที่ 25

สำหรับพระศาสนจักรของพระองค์ พระเยซูเจ้าไม่ได้ดำเนินแผนการทางการเมืองใด ๆ ในสมัยของพระองค์ ไม่ใช่พวกฟาริสี พวกสะดูสี หรือเอสเซน หรือพวกหัวรุนแรง ไม่มีการจัดตั้งบริษัท พระองค์เพียงแต่ยึดถือประเพณีของอิสราเอลดั้งเดิมที่กล่าวว่า “เจ้าจะเป็นประชากรของเราและเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า”

ข้าพเจ้าชอบคิดว่าพระศาสนจักรเป็นคนเรียบง่ายและถ่อมตัว ที่เดินต่อพระพักตร์พระเจ้า (ผู้คนที่มีความเชื่อในพระเจ้า) นี่คือความหมายทางศาสนาของผู้ที่มีความเชื่อของเรา และข้าพเจ้าขอบอกว่า คนที่มีความเชื่อเพื่อไม่ให้ตกอยู่ในแนวทางที่ผิด หรือแผนการทางอุดมการณ์มากมาย ซึ่งทำให้ความเป็นจริงของประชากรของพระเจ้า "ลดลง" คนที่มีความเชื่อเป็น "ประชากรของพระเจ้า" เป็นนักบุญและคนบาปในระหว่างการเดินทาง และนี่คือพระศาสนจักร

คุณลักษณะประการหนึ่งของผู้ที่มีความเชื่อนี้ คือความไม่มีข้อผิดพลาด ("In credendo falli nequit", LG 9 กล่าว) และข้าพเจ้าขออธิบายดังนี้

“เมื่อคุณต้องการรู้ว่าพระศาสนจักร ผู้เป็นมารดาศักดิ์สิทธิ์เชื่ออะไร ให้ไปดูที่อำนาจการสั่งสอนของพระศาสนจักร (Magisterium, พระศาสนจักรเปรียบได้กับการเป็นมารดา ที่มีหน้าที่อบรมสั่งสอนบุตรของตน) แต่เมื่อคุณต้องการรู้ว่าพระศาสนจักรเชื่ออย่างไร ให้ไปแสวงหาที่หลักคำสอนหรือข้อความเชื่อ”

ข้าพเจ้านึกถึงภาพหรือตำนานหนึ่งขึ้นมา ที่บรรดาผู้ที่มีความเชื่อมารวมตัวกันที่ทางเข้าอาสนวิหารเอเฟซัส ผู้คนยืนอยู่สองข้างทางของถนนสู่อาสนวิหารขณะที่กำลังมีขบวนแห่ของบิชอปเข้ามา มีผู้ร้องเพลงประสานเสียงว่า "พระมารดาของพระเจ้า"

ข้าพเจ้าขอให้ลำดับชั้น (Hierarchy) ของการประกาศหลักคำสอนนั้นเป็นจริง ซึ่งพวกเขาได้มีอยู่แล้วในฐานะประชากรของพระเจ้า (บางคนบอกว่าถือไม้เท้าอยู่ในมือและแสดงให้บิชอปได้เห็น) ข้าพเจ้าไม่รู้ว่ามันเป็นประวัติศาสตร์หรือตำนาน แต่ภาพนั้นใช้ได้

ผู้ที่มีความเชื่ออันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า มีจิตวิญญาณ และเนื่องจากเราสามารถพูดถึงจิตวิญญาณของผู้คน เราจึงสามารถพูดถึงศาสตร์แห่งการตีความ (hermeneutic) วิธีมองเห็นความเป็นจริง และมโนธรรม คนที่มีความเชื่อของเรา ตระหนักถึงศักดิ์ศรีของพวกเขา พวกเขาให้ศีลล้างบาปลูกหลานของพวกเขา พวกเขาฝังผู้ตายของพวกเขา สมาชิกของพวกเราบางคน ณ ขณะนี้ก็มาจากลำดับขั้นต่าง ๆ (Hierarchy) เหล่านั้น (คือบรรดาพระคาร์ดินัล บิชอป บาทหลวง นักบวชชายหญิง) และเราได้รับความเชื่อมาจากบุคคลเหล่านั้น

โดยทั่วไปแล้วพวกเราได้รับความเชื่อมาจากมารดาและยายของเรา “แม่และยายของคุณ” นักบุญเปาโลบอกกับทิโมธี ซึ่งเป็นความเชื่อที่สืบทอดมาในภาษาถิ่นของผู้หญิง เช่นเดียวกับมารดาของมัคคาบีที่พูด “ภาษาถิ่น” กับลูก ๆ ของเธอ

และในที่นี้ ข้าพเจ้าต้องการเน้นย้ำว่า ในบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์และประชากรของพระเจ้า ความเชื่อได้รับการถ่ายทอดเป็นภาษาท้องถิ่น และมักจะเป็นภาษาถิ่นของผู้หญิง นี่ไม่เพียงเพราะพระศาสนจักรคือมารดาและเป็นผู้หญิงที่สะท้อนถึงเธอได้ดีที่สุด (พระศาสนจักรใช้คำนามเป็นเพศหญิง)

แต่เพราะเป็นผู้หญิงที่รู้จักการรอคอย ผู้ที่รู้วิธีค้นพบทรัพยากรของพระศาสนจักร ของคนที่มีความเชื่อ ผู้ที่เสี่ยงเกินขอบเขต บางทีด้วยความกลัวแต่กล้าหาญ และในความสว่าง และร่มเงาของวันเริ่มต้น พวกเขาเข้าใกล้หลุมศพด้วยสัญชาตญาณ (ยังไม่หวัง) ว่าอาจมีชีวิตอยู่บ้าง (นักบุญมารีย์ชาวมักดาลา)

สตรีของผู้ศักดิ์สิทธิ์ และมีความเชื่อในพระเจ้าเป็นภาพสะท้อนของพระศาสนจักร พระศาสนจักรจักรเป็นสตรี (เพศหญิง) เธอเป็นภรรยา เธอเป็นมารดา

เมื่อผู้รับใช้ปฏิบัติตนอย่างไม่เหมาะสม และปฏิบัติไม่ดีต่อประชากรของพระเจ้า พวกเขาทำให้ใบหน้าของพระศาสนจักรเสียโฉม ด้วยทัศนคติแบบลูกผู้ชายและเผด็จการ (อ้างถึงการแบ่งปันของซิสเตอร์ลิเลียนา ฟรังโก) เป็นเรื่องน่าเจ็บปวดที่พบว่า "รายการราคา" (price list) ของการให้บริการศีลศักดิ์สิทธิ์ มีรูปแบบเดียวกันกับซุปเปอร์มาร์เก็ตในสำนักงานวัดบางแห่ง

ไม่ว่าพระศาสนจักรจะเป็นผู้คนที่มีความเชื่อในพระเจ้าในระหว่างการเดินทาง เป็นนักบุญและคนบาป หรือไม่ก็กลายเป็นกลุ่มที่รับใช้ในรูปแบบที่แตกต่าง ๆ กัน และเมื่อผู้อภิบาลใช้เส้นทางที่สองนี้ พระศาสนจักรก็กลายเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งความรอด และบาทหลวงก็กลายเป็นเพียงพนักงานของบริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่ง

นี่คือความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่นักบวชนำเราไป และนี่เป็นเรื่องน่าเศร้าและอื้อฉาวมาก (การไปที่ร้านตัดเสื้อของพระศาสนจักรในกรุงโรมก็เพียงพอแล้ว เพื่อดูเรื่องอื้อฉาวของนักบวชหนุ่มที่พยายามสวมเสื้อหล่อ หมวก ชุดคลุม และเสื้อคลุมที่ทำด้วยลูกไม้)

ลัทธิการยกย่องสมณะ (Clericalism) คือแส้ มันคือหายนะ เป็นรูปแบบหนึ่งของโลกที่ทำให้ใบหน้าของเจ้าสาวของพระเยซูเจ้าเป็นมลทินและเสียหาย มันทำให้ผู้คนที่บริสุทธิ์และมีความเชื่อในพระเจ้าตกเป็นทาส

และประชากรของพระเจ้า ซึ่งเป็นประชากรที่มีความเชื่ออันศักดิ์สิทธิ์ในพระเจ้า ก้าวไปข้างหน้าด้วยความอดทน และความอ่อนน้อมถ่อมตน อดทนต่อคำดูถูก การทารุณกรรม และการทำให้พวกนักบวชที่ทำตัวให้เป็นสถาบันอยู่ในชายขอบ และเราพูดถึงเจ้าชายของพระศาสนจักร (หมายถึงบรรดาพระคาร์ดินัล) อย่างเป็นธรรมชาติ หรือการเลื่อนตำแหน่งของบรรดาบิชอปว่าเป็นความก้าวหน้าในอาชีพการงาน! นี่คือความน่าสะพรึงกลัวของโลก ความเป็นทางโลกที่ทำร้ายผู้ศักดิ์สิทธิ์และมีความเชื่อในพระเจ้า