จากประตูแห่งความเชื่อ สู่ประตูศักดิ์สิทธิ์ (ตอนที่ 10) ตอนจบ

(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

จากประตูแห่งความเชื่อ สู่ประตูศักดิ์สิทธิ์ (ตอนที่ 10) ตอนจบ
PORTA FIDEI (The Door of Faith) to PORTA SANCTA (The Holy Door)

              

              ความเดิมเมื่อตอนที่แล้ว ได้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างความเมตตาและความกรุณา และสำหรับพระเป็นเจ้า มีทั้งความเมตตาและความกรุณาต่อเราเสมอ พระองค์ให้อภัยเราจากบาปต่าง ๆ  และยังคอยช่วยเหลือเราทั้งกายและใจด้วย ปีศักดิ์สิทธิ์แห่งเมตตาธรรมที่ผ่าน พระสันตะปาปาฟรันซิส ได้เลือกด้วยเหตุนี้เอง คติพจน์ปีศักดิ์สิทธิ์แห่งเมตตาธรรม จึงเน้นว่า “จง​เป็น​ผู้​เมตตากรุณา​ดังที่​พระ​บิดา​ของ​ท่าน​ทรง​พระ​เมตตากรุณา​เถิด” (ลก 6:36) เป็นคติพจน์ประจำปีศักดิ์สิทธิ์แห่งเมตตาธรรม  

              พระสันตปาปาฟรันซิส มีความประสงค์ให้พระวาจานี้เป็นจริงเป็นจังผ่านทางการดำเนินชีวิตของบรรดา คริสตชน ซึ่งพระองค์ได้พูดสั้น ๆ ว่า “พระเมตตาของพระเจ้าไม่ได้เป็นเพียงนามธรรม แต่นี่คือความจริงที่เป็นรูปธรรมซึ่งเผยให้เห็นถึงความรักเฉกเช่นผู้เป็นบิดาหรือมารดาที่รักบุตรจนสุดหัวใจ” (สมณโองการ พระพักตร์แห่งเมตตาธรรม ข้อ 6)

              การทำให้คติพจน์ปีศักดิ์สิทธิ์แห่งเมตตาธรรม “จง​เป็น​ผู้​เมตตากรุณา​ดังที่​พระ​บิดา​ของ​ท่าน​ทรง​พระ​เมตตากรุณา​เถิด” ปรากฏเห็นชัดในชีวิตคริสตชน พระสันตะปาปาแนะนำว่า  “ตลอดปีศักดิ์สิทธิ์นี้ ข้าพเจ้าปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง ใครขอร้องให้บรรดาคริสตชนคำนึงถึงงานเมตตาทั้งฝ่ายกาย และฝ่ายจิต” (สมณโองการ พระพักตร์แห่งเมตตาธรรม ข้อ 15)

              งานเมตตาธรรมฝ่ายกาย  เช่น ให้อาหารแก่ผู้หิวโหย, ให้น้ำแก่ผู้กระหาย, ให้เสื้อผ้าแก่ผู้ไม่มีนุ่งห่ม,ให้ที่พักแก่ผู้ที่ไร้ที่อยู่, เยี่ยมผู้ป่วย, เยี่ยมผู้ต้องขัง,  ร่วมงานฝังศพ

              งานเมตตาธรรมฝ่ายจิต เช่น ให้คำแนะนำแก่ผู้สงสัย, สอนคนที่ไม่รู้,  ตักเตือนคนบาป, บรรเทาใจผู้ทุกข์ยาก, ให้อภัยผู้ทำความผิด, อดทนต่อความผิดของผู้อื่น, ภาวนาสำหรับผู้เป็นและผู้ตาย

              เมตตาธรรมเป็นรากฐานของชีวิตพระศาสนจักร พันธกิจทุกอย่างบด้านอภิบาลควรช่วยให้สัตบุรุษสัมผัสความอ่อนหวาน ทั้งการเทศน์สอน และประจักษ์พยานชีวิต มีความยุติธรรม แต่ต้องมีเมตตาธรรมด้วย… เพื่อช่วยผู้อ่อนแอให้มีชีวิตใหม่ สู่อนาคตด้วยความหวัง (สมณโองการ พระพักตร์แห่งเมตตาธรรม ข้อ 10)

              หากบรรดาคริสตชนปฏิบัติงานเมตตาธรรมฝ่ายกายและจิต ในชีวิตประจำวัน จะเป็นเหมือนแม่น้ำแห่งความเมตตาไม่มีวันเหือดแห้งในชีวิตพระศาสนจักร และพระสันตปาปาฟรันซิสได้กล่าวว่า การปฎิบัติกิจเมตตาธรรมจะเป็นภาพสะท้อนประกาศกอิสยาห์ (สมณโองการ พระพักตร์แห่งเมตตาธรรม ข้อ 16)

              “พระ​จิต​ของ​พระ​ยาห์​เวห์​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ทรง​อยู่​เหนือ​ข้าพ​เจ้า เพราะ​พระ​ยาห์​เวห์​ทรง​เจิม​ข้าพ​เจ้า​ไว้​ให้​ประกาศ​ข่าว​ดีแก่​คน​ยากจน ทรง​ส่ง​ข้าพ​เจ้า​ไป​ปลอบโยน​คน​ที่​มี​ใจ​ชอกช้ำ ประกาศอิสรภาพ​แก่​เชลย ประกาศ​การ​ปลดปล่อย​แก่​ผู้​ถูก​จองจำ ประกาศ​ปี​แห่ง​ความ​โปรดปราน​ของพระเจ้า” (อสย 61: 1-2)

              พันธกิจที่พระ เยซูเจ้าได้รับจากพระบิดา คือ การเผยแสดงธรรมล้ำลึกความรักของพระเจ้าอย่างเต็มรูปแบบว่า พระเจ้าทรงเป็นความรัก (1 ยน 4:8, 16) ทรงทำงานเป็นพิเศษเพื่อคนบาป คนจน คนชายขอบ ผู้ป่วยและทนทุกข์ เพื่อสอนเมตตาธรรม ทุกสิ่งในตัวพระเยซูเจ้าพูดถึงแต่พระเมตตา (สมณโองการ พระพักตร์แห่งเมตตาธรรม ข้อ 8)

              เพื่อที่จะเลียนแบบความเมตตาของพระเยซูเจ้า พระสันตะปาปาได้เน้นว่า “ผู้ที่ปฏิบัติ เป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณา ต้องปฏิบัติด้วยใจยินดี” (สมณโองการ พระพักตร์แห่งเมตตาธรรม ข้อ 16)

              บันทึกวิญญาณของนักบุญโฟสตินา ข้อ 1448 ได้บันทึกสิ่งได้รับการเผยแสดงจากพระเยซูเจ้าว่า “จงเขียนและเอ่ยถึงความเมตตาของเรา จงบอกให้ทุกคนรู้ว่าควร แสวงหาการบรรเทาทุกข์จากที่ใด ที่นั่นคือบัลลังก์ความเมตตา”

              ดังนั้น บรรดาคริสตชน ผู้ที่มีความเชื่อ ย่อมดำเนินชีวิตสอดคล้องกับความเชื่อที่พวกเขามี ความเชื่อนั้น ต้องประกาศด้วยชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ ชีวิตที่เป็นพยาน การเป็นพยานที่จัดเชนที่สุดคือ ท่านจงรักองค์พระเป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาและสุดกำลังของท่าน... ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง  (มก 12:30-31)  หากผู้ใดกล่าวว่า ข้าพเจ้ารักพระเจ้า แต่จงเกลียดจงชังพี่น้องของตน ผู้นั้นเป็นคนโกหก เพราะผู้ที่ไม่รักพี่น้องผู้ที่เขามองเห็นได้ก็จะไม่สามารถรักพระเจ้าผู้ที่เขามองไม่เห็น”  (1 ยน 4:20)  “ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา”  (มธ 25:40)

              การดำเนินชีวิตแบบนี้ของคริสตชน คือ ชีวิตเดินก้าวเข้าสู่ประตูศักดิ์สิทธิ์ ประตูสวรรค์ นั่นเอง.......