อภัย

(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

แสงอ่อน ๆ จากเทียนเล่มหนึ่งถูกวางตั้งอยู่บนพื้นระเบียง
ใกล้ ๆ กันนั้นมีมือซึ่งดูเหมือนพยายามไข่วคว้าจับเปลวของมัน
ลำแขนเหยียดออกจนสุดทำให้รู้สึกถึง
ความพยายามอย่างเหลือแสนของ "หนูนา"
หญิงสาวที่เกลือกกายคว่ำอยู่
แต่ด้วยศอกยันกายขึ้นจากพื้น
เผยให้เห็นใบหน้าเศร้าหมองกับสายตาเหม่อลอย
จับจ้องแสงเทียนอย่างไม่กระพริบ
ความขัดแย้งในตัวเองที่ดูประหลาดจากการกระทำ
อันมุ่งมั่นบนพฤติกรรมเลื่อนลอย
... ภาพเหตุการณ์ในช่วงอาทิตย์เพิ่งผ่านมา
แปลบปลาบสว่างขึ้นในความคิดของหนูนา

“...แล้วจะให้ นา ทำยังไง...”

หญิงสาวทรุดตัวลงกองอยู่กับพื้นห้องราวกับผ้าขี้ริ้ว
ที่ถูกใช้เช็ดสิ่งโสโครกอันขจัดออกไม่ได้
พร่ำคำร่ำไห้ออกมาแทบไม่เป็นภาษาด้วยเสียงแหบแห้งในลำคอ
ที่แม้แต่ตัวเธอเองยังเกือบไม่ได้ยิน
แต่ในขณะนี้มันกลับดังสนั่นก้องในความหวลคำนึง
แต่นั่นยังไม่ดังพอจะกลบเสียงตวาดที่สำรอกวาจา
เสียดแทงหัวใจจากปากของ "ธนา" แฟนหนุ่ม

“เป็นไง? ตอนนี้คิดเป็นแล้วเหรอ? คิดช้าไปหน่อยนะ
บอกไม่รู้จะกี่ครั้งแล้วว่าต้องกิน...ต้องกิน”

“อุตส่าห์หาซื้อมาให้ ก็แล้ว บอกวิธีใช้ ก็แล้ว”

“ โง่จริง ๆ บอกตรง ๆ พี่ไม่พร้อมจะเป็นพ่อคนตอนนี้นะ”

“ ไปเอาออกซะ...แล้วจะบอกให้ว่าต้องไปที่ไหน”


หนูนาเหมือนถูกฉุดหลุดจากวังวนแห่งความเจ็บปวด
ด้วยเสียงจากโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น เธอจ้องชื่อ "ภัทรา"
กระพริบอยู่บนจอโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกสับสนและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
บุคคลผู้พยายามติดต่อเธอมาถึงสามวันแล้ว เธอหลับตาแล้ว
ตัดสินใจกดปุ่มโทรศัพท์ยุติความพยายามนั้นทิ้งอีก
เป็นครั้งที่ 53

ในเวลาเดียวกันนั้น ที่ ๆ ไกลออกไปกว่าร้อย
กิโลมตรทางตะวันตก ภัทรา
แม่ผู้ไม่เคยยอมรับคำขอโทษจากใคร สาวใหญ่ผู้ไม่รู้จักความหมาย
แท้จริงของคำว่า "ความรัก" นักธุรกิจหญิงผู้เข้มงวดและไร้ปราณี
สำหรับเธอแล้ว ลูกสาวคือสมบัติล้ำค่าแสนหวงชิ้นหนึ่ง
เธอเก็บรักษาทรัพย์ชิ้นนี้ไว้เป็นอย่างดี ไม่มีใครเคยได้โอกาสเข้าใกล้
ณ วินาทีนี้เธอยังคงแนบโทรศัพท์ไร้สัญญาณกับหูอย่างแน่นิ่ง
ภัทราเพิ่งสำนึกในความจริงเป็นครั้งแรกว่าวัตถุอันประเมินค่ามิได้
ชิ้นนี้มีชีวิตจิตใจและสามารถปฏิเสธความต้องการของเธอได้

มีคนเคยบอกว่าความทรงจำดี ๆ ในวันวานของเราสามารถหล่อเลี้ยงจิตใจ
และนำมาซึ่งกำลังใจให้ดำเนินชีวิตที่ดีต่อไปได้ แต่ในขณะนี้
มันไม่ได้ให้ผลเช่นนั้นเลยสำหรับหนูนา เพราะภาพในอดีตอันสวยงาม
และน่าภาคภูมิใจของนักศึกษาสาวดีเด่นแห่งมหาวิทยาลัยอันมีชื่อเสียง
ผู้มีความพรั่งพร้อมทั้งฐานะเงินทองและวงศ์ตระกูลที่ใคร ๆ พากันอิจฉา
มันกลับกลายเป็นเหมือนอุปสรรคสำคัญขัดขวางการมีชีวิตอยู่ต่อไปของเธอ
องค์ประกอบอันสมบูรณ์แห่งชีวิตของหนูนาซึ่งได้รองรับและ
เกื้อหนุนให้เธอโลดแล่นไปมาบนเส้นทางแสนสำราญที่เปรียบได้กับ
สะพานทองคำอันแข็งแรงและงดงาม ซึ่งทอดยาวข้ามผ่านขวากหนาม
ที่มนุษย์ส่วนใหญ่ของสังคมจำต้องประสบ เพราะวันนี้เธอได้ล้มคว่ำ
เอื้อมมือไขว่คว้าและชะเง้อมองสะพานนั้นกำลังลุกไหม้ในกองเพลิง
สิ่งเดียวซึ่งช่วยค้ำจุนเธอเสมอมากำลังถูกเผาทำลายกลายเป็นเถ้าถ่านเสียแล้ว
ขณะนี้เธอรู้สึกเสมือนว่าตนกำลัง
ร่วงคว้างกลางเวหาลงสู่ก้นเหว หนูนาหาได้มีความกลัวใด ๆ
แต่กลับพร้อมกายใจปรารถนาจบทุกสิ่ง ณ พื้นพสุธา

ภัทรารู้สึกตัวอีกครั้งและพบว่าตนกำลังฟุบหน้าบนโต๊ะทำงานในออฟฟิต
หรูหราของเธอเอง สิ่งที่สมองซึ่งดูเหมือนไม่ทำงานในตอนนี้สามารถรับรู้ได้คือ
มันเป็นเวลาตีสองและเธอรู้สึกวิงเวียนราวกับทั้งจักรวาลกำลังโคจร
รอบตัวเธอเป็นศูนย์กลาง นอกจากนั้นแล้วหญิงเหล็กแห่งวงการธุรกิจ
เพียงแค่ต้องการไปให้พ้นจากสภาพแวดล้อมเดิม ๆ นี้เหลือเกิน
เธอกัดฟันลุกขึ้นคว้ากุญแจแล้วเดินไปยังรถที่จอดอยู่หน้าสำนักงาน
แม้ในสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมขนาดนี้เธอตัดสินใจขับรถออก
ขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมายปลายทาง

อาทิตย์สาดแสงอรุณเหลืองทองรองเรืองแทรกทิวแมกไม้ริมเส้นทางน่ารื่นรมย์
แต่มันไม่ได้ช่วยปลุกปลอบจิตใจอันทุกข์ระทมของภัทราเลยแม้แต่น้อย
การเดินทางอันปราศจากเป้าหมายยุติลงเมื่อภัทราต้องตกใจ
กับอาการกระตุกของเครื่องยนต์ที่เหมือนคนทุรนทุรายก่อนขาดใจตาย
และแน่นิ่งไปในที่สุด เธอกวาดสายตาบนแผงหน้าปัดและ
พบว่าเข็มชี้ระดับน้ำมันอยู่ในตำแหน่งยืนยัน
การพุ่งทะยานอย่างไร้สติจนไกลเกินกว่าเชื้อเพลิงในถังสามารถประทัง
เมื่อมองไปรอบ ๆ เธอไม่พบอะไรนอกจากทุ่งนาโล่ง ๆ
และกลุ่มอาคารขนาดเล็กสองถึงสามหลังห่างออกไปประมาณสามร้อยเมตร
หลังจากตรวจตราความเรียบร้อยรอบรถจนแน่ใจว่าสามารถจอดทิ้งไว้แล้ว
มันจะยังคงอยู่ที่เดิมเมื่อกลับมาอีกครั้ง เธอจึงเดินไปยังอาคารเหล่านั้น
โดยหวังขอความช่วยเหลือทางใดทางหนึ่ง ภัทราไม่แน่ใจว่า
การต้องมาลำบากลากสังขารกลางแดดแผดเผาในที่ซึ่งเธอไม่รู้จักแบบนี้
เป็นบุญหรือกรรมกันแน่ แต่อย่างน้อยในตอนนี้เธอรู้สึกดี
ที่หายจากอาการวิงเวียนอันแสนทรมานนั้นไปแล้วอย่างปลิดทิ้ง
ไม่นานนักเธอมาหยุดอยู่หน้าอาคารหลังแรกซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าติดถนน
มันเป็นวัดคาทอลิกหลังน้อย ๆ ซึ่งกำลังมีพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ
เธอตัดสินใจเดินเข้าไปภายในและนั่งลงบนเก้าอี้แถวหลังสุด
ขณะที่บรรดาสัตบุรุษกำลังขับเพลงสดุดีอยู่นั้นทำให้ภัทรารู้สึกสงบ
แต่เพียงชั่วครู่ภาพของหนูนากำลังขอให้เธอ
ยกโทษในความผิดพลาดของตนก็ผุดขึ้นมา

“...คุณแม่...หนูนา...ขอโทษ...”

ลูกสาววอนขออภัยในความดื้อรั้นของตนจนพาให้เกิดความพลาดพลั้ง
จากความสัมพันธ์ลับกับหนุ่มนักศึกษารุ่นพี่จนตั้งครรภ์
สำหรับภัทราแล้วมันคือการถูกหยามเกียรติหมิ่นศักดิ์ศรีอย่างรุนแรง
จากใครคนหนึ่งที่เธอไม่รู้จักและ
ยังเป็นการทรยศหักหลังของลูกสาวตนเองอีกด้วย

“ไอ้ผู้ชายสารเลวนั่น มันเป็นใคร บอกมาเดี๋ยวนี้
ฉันจะเอาเรื่องมันให้ถึงที่สุด”

“ฉันไม่เข้าใจแกเลย แกทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง”

สายตาที่เหม่อมองออกนอกหน้าต่างวัดของหญิงแปลกหน้าผู้นี้
เป็นที่สังเกตของคุณพ่อประทีปซึ่งกำลังยืนเทศน์
เวลาผ่านไปจนพิธีเสร็จสิ้น
และทุกคนแยกย้ายออกจากวัดกันหมดแล้ว
ภัทรายังคงนั่งนิ่งเหมือนไร้วิญญาณ
อยู่ในที่เดิม คุณพ่อซึ่งยืนร่ำลาสัตบุรุษคนสุดท้ายอยู่หน้าวัด
ได้แอบสำรวจสถานการณ์จากด้านหลังของภัทราด้วยความเป็นห่วง
ท่านตัดสินใจเดินเข้าไปหาเพื่อถามไถ่

“สวัสดีครับ ผมชื่อพ่อประทีป เป็นพ่อเจ้าวัดที่นี่
พ่อไม่เคยเห็นคุณมาก่อนเลย มาเที่ยวแถวนี้หรือครับ?”


ภัทราตื่นจากภวังค์และหันหน้าแหงนมองคุณพ่อด้วยความงุนงง

“...สวัสดีค่ะคุณพ่อ... ดิฉัน... อ้อ ชื่อภัทราค่ะ
เอ่อ... บังเอิญขับรถมาน้ำมันหมดแถวนี้”


เจ้าอาวาสผู้ใส่ใจทุกข์สุขของลูกวัดคนนี้เดาว่าเธอคงมีปัญหามากกว่านั้น ...

“ถ้าแค่น้ำมันหมด เราก็คงจะช่วยกันได้ไม่ยากเลย... ใช่มั้ยครับ? ... เอ่อ”

คุณพ่อเลิกคิ้วขึ้นสูงและเผยริมปากเหมือนมีอะไรจะพูดต่อ
แต่กลับค้างอยู่อย่างนั้น ภัทราถอนใจยาวพร้อมกับก้มลง
มองพื้นกระเบื้องดินเผาวาววับแล้วนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
พระสงฆ์หนุ่มใหญ่ยิ่งมั่นใจว่าเธอต้องมีปัญหาหนักใจเกินบรรยาย

“ถ้าคุณภัทราไม่ได้รีบไปไหน พ่อขอเชิญคุณ
ร่วมแบ่งปันพระคัมภีร์กับพ่อได้ไหมครับ?”


ภัทราไม่แน่ใจว่าอะไรคือการแบ่งปันพระคัมภีร์ แต่สิ่งที่เธอแน่ใจคือ
พระสงฆ์องค์นี้กำลังพยายามทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยเธอ

“ก็ได้ค่ะ แต่ดิฉันไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง
ปกติดิฉันก็ไม่อ่านพระคัมภีร์เสียด้วย”

เจ้าอาวาสผู้กระตือรือล้นรีบใช้โอกาสอธิบายขั้นตอน

“โดยทั่วไปมีสี่ขั้นตอนดำเนินต่อเนื่องกันไป
แต่พ่อจะไม่อธิบายขั้นตอนอย่างละเอียดตอนนี้ทีเดียว
เพราะคุณอาจไม่เข้าใจและรู้สึกว่ายาก
ขอให้เราแบ่งปันการรำพึงพระคัมภีร์ไปด้วยกันเลย
แล้วพ่อจะอธิบายแต่ละขั้นตอนไปพร้อม ๆ กัน
ในขั้นแรกนี้พ่อจะช่วยคุณหาพระวาจาบทที่น่าจะ
สอดคล้องกับสถานการณ์ชีวิตของคุณในช่วงเวลานี้
ที่ใกล้เคียงมากที่สุด...ดีไหมครับ?
ไม่ทราบว่าคุณรู้สึกต้องการอ่านพระวาจาที่เกี่ยวกับเรื่องอะไรมากที่สุด”


ภัทราคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามออกไปอย่างไม่ค่อยแน่ใจ

“ไม่ทราบว่ามีเรื่องเกี่ยวกับการยกโทษให้ใครสักคนไหมคะ?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นคุณพ่อนักอ่านนึกถึง
พระวรสารบทที่ 23 ข้อ 34
ของนักบุญลูกาในทันที ท่านจึงเปิดพระคัมภีร์ในบทดังกล่าว
และยื่นให้ภัทราอย่างรวดเร็ว

“ถ้าอย่างนั้นพ่อขอเสนอให้ใช้พระวรสารจากนักบุญลูกา
บทนี้ตั้งแต่ข้อ 33 ถึง 34 นะครับ ขอให้คุณอ่านออกเสียง
สองข้อนี้อย่างช้า ๆ อ่านอย่างรู้สึกสัมผัสถึงแต่ละคำที่ริมฝีปาก
ขณะเดียวกันพยายามจับสัมผัสที่อาจจะแผ่วเบามาก
ที่ออกมาจากแต่ละคำหรือประโยคที่คุณอ่านนั้น
และพ่อขอให้คุณอ่านทั้งหมดสักสองเที่ยว เข้าใจไหมครับ?”


มันฟังดูไม่ยากจนทำให้ภัทราพยักหน้ารับและ
เริ่มอ่านพระวรสารนั้นในทันใด เธอพยายามอ่านอย่างสำรวม
และตั้งใจสองเที่ยวตามที่เจ้าวัดผู้นี้ขอ
ในเที่ยวแรกภัทราไม่รู้สึกอะไรพิเศษเลยแต่ในเที่ยวสอง
สิ่งที่เธอรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจเมื่อเธออ่านถึงช่วงที่ว่า

“... พระเยซูเจ้าตรัสว่า ”พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด
เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร”...”


ประโยคที่พระเยซูเจ้าตรัสนั้นดังสะท้อนไปมาในความคิด
โดยเธอไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด คุณพ่อเริ่มขั้นตอนที่สองต่อไปในทันที

“พ่อขอให้คุณเอาคำหรือประโยคที่รู้สึกสะกิดใจจากการอ่านสักครู่นี้
มาค่อย ๆ ทบทวนในความคิด ใช้เวลากับมันปล่อยให้มันมีปฎิสัมพันธ์
...กับความรู้สึกนึกคิดลึก ๆ ภายใน ...กับเหตุการณ์ที่คุณกำลังเกี่ยวข้อง
...กับความทรงจำและจินตนาการ และขอให้ช่วงเวลานี้เป็นเหมือน
การอัญเชิญพระเจ้าเข้ามาสู่การสนทนากับคุณ”


ภาพเหตุการณ์ที่เธอระเบิดอารมณ์ใส่หนูนาสว่างขึ้นในความทรงจำ
ภาพในจินตนาการของลูกสาวผู้อ่อนต่อโลกต้องทุกข์ทรมาน
จากการถูกทอดทิ้งให้ต้องเผชิญกับวิกฤติใหญ่หลวงของชีวิต
แต่เพียงลำพัง เธอยังจินตนาการถึงเหตุการณ์ของพระเยซูเจ้า
ที่ทรงเจ็บปวดทรมานบนไม้กางเขนขณะตรัสว่า

“พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด
เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร”

ในที่สุดเธอเองกลับรู้สึกทรมานใจมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
หัวใจของเธอร้องขอพระเจ้าได้โปรดช่วยเธอให้พ้นจากความทุกข์มหันต์นี้
ภัทราร้องไห้ออกมาโดยแทบไม่รู้ตัว พระสงฆ์นักปฏิบัติ
จึงเห็นควรดำเนินการในขั้นตอนต่อไปทันที

“พ่อไม่ทราบว่าพระองค์ได้บอกอะไรกับคุณบ้าง
หรือคุณมีอะไรจะพูดกับพระองค์ก็เชิญเถอะครับ
พ่อเชื่อว่าพระองค์ประทับอยู่ต่อหน้าคุณแล้วและทรงพร้อมรับฟัง”


ภัทราพรั่งพรูออกมาจากใจพร้อมน้ำตา

“พระเยซู ...พระองค์ไม่ได้โกรธคนที่ทำร้ายพระองค์เลย
ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญอะไรเลย
ไม่ได้รู้สึกว่าคนเลวพวกนี้ได้ทำร้ายพระองค์เลย
พระองค์กลับขอให้พระบิดายกโทษให้คนพวกนี้
พวกเขาได้ทำร้ายพระบิดา ไม่ใช่ตัวพระองค์
ขนาดพระเยซูยังไม่เห็นถึงความสำคัญของพระองค์เองเลย
ยังไม่ถือว่าพระองค์เป็นเจ้าของแม้แต่ร่างกายของตัวเอง
ทุกอย่างเป็นของพระบิดา ใครที่ทำร้ายพระองค์ก็ทำผิดต่อพระบิดา
ไม่ใช่ต่อพระองค์เอง ...เข้าใจแล้วพระเยซู ลูกเป็นคนเห็นแก่ตัวที่สุด
ถือว่าตัวเองสำคัญที่สุด ลูกบังอาจถือสิทธิ์ครอบครองสิ่งต่าง ๆ
แม้แต่ลูกสาวก็เป็นของของลูก จริง ๆ แล้วลูกต่างหากที่ไม่มีสิทธิ์
ไม่มีสิทธิ์เหนืออะไรเลยสักอย่างเดียว ทุกอย่างเป็นของพระบิดา
ถ้าหนูนาได้ทำผิดต่อพระองค์หรือทำให้พระองค์เสียใจ
ลูกต้องขอพระองค์โปรดยกโทษให้เธอด้วย
และลูกเองต้องขอพระองค์ได้โปรดยกโทษในความจองหอง
และเห็นแก่ตัวของลูกด้วย ขอพระเยซูช่วยลูกด้วย”


แม่ผู้ได้รับการเผยความหมายแท้จริงของ “การอภัย”
จากพระเจ้าก้มหน้านิ่งไปชั่วครู่ พ่อประทีปจึงเห็นว่า
ควรแก่เวลาที่จะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายในการพักพิงในอ้อมกอดของพระเจ้า
แต่จู่ ๆ ภัทราผงะตัวขึ้นด้วยความตกใจ

“คุณพ่อ ...ช่วยพาดิฉันไปหาลูกของดิฉันเดี๋ยวนี้ได้ไหม?
...ดิฉันสังหรณ์ใจว่าอาจมีเรื่องร้ายแรงเกิดขี้นกับแก”


ทั้งสองรีบรุดไปขึ้นรถของคุณพ่อที่จอดอยู่ข้างวัดและ
เดินทางไปหาหนูนาด้วยความเร่งด่วน
กว่าหนึ่งชั่วโมงกับไฟสุมทรวงในที่สุดภัทราไปถึงหอพักนักศึกษา
ที่หนูนาอาศัยอยู่ หลังจากที่ได้วิ่งกระหืดกระหอบถึงประตูห้องพัก

และพบว่ามันถูกล๊อคไว้จากด้านใน

“งั้นเดี๋ยว! ...ผมจะพังเข้าไปเลยแล้วกัน”

คุณพ่อถีบประตูเข้าไปได้ สิ่งที่ปรากฎอยู่ต่อหน้าภายในห้อง
ทำให้แม่ผู้กลับใจร้องเรียกลูกสาวเสียงหลง

“หนูนา ...ลูกแม่”


ลูกสาวคนเดียวของเธอนอนคว่ำหน้ากับพื้นห้องที่เกลื่อนไปด้วยเม็ดยา
และขวดเบียร์ ภัทราคว้าลูกสาวมากอดแนบอกแน่นและ
ตะโกนเรียกหนูนาอย่างไร้สติเพียงหวังให้เธอให้รู้ตัว
ในเวลาเดียวกันคุณพ่อประทีปเดินสำรวจดูพื้นห้องอย่างละเอียด
และเก็บเม็ดยาทั้งหมด

“คุณภัทรา! ...ผมว่าเธอยังไม่ได้ทานยาพวกนี้เข้าไปหรอก
ผมนับจำนวนแล้วเทียบกับปริมาณข้างขวดแล้ว ...ยังอยู่ครบครับ
แล้วดูเบียร์พวกนี้ ...ห้าขวดเกลี้ยงเลย ผมว่าเธอคงแค่เมาหลับไปมากกว่า”


ยังไม่ทันที่คุณพ่อนักวิเคราะห์สถานการณ์เสร็จสิ้นบทสรุป
หนูนาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นด้วยอาการเมามายแต่ไม่วายที่จะตกใจ
เมื่อเห็นว่าใครกำลังกอดเธออยู่

“คุณแม่ ...หนูขอโทษ”


แม่ผู้เพิ่งเข้าใจความหมายแท้จริงของคำว่า “ความรัก”
มองหน้าลูกสาวอย่างเต็มตาพร้อมด้วยรอยยิ้มที่หนูนาไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต

“แม่ไม่โกรธลูกแล้ว จริง ๆ แม่ผิดเองที่ไม่ได้อยู่ข้าง ๆ
ลูกเมื่อลูกก้าวผิดพลาดในชีวิต ไม่ต้องขอโทษอะไรแม่อีกแล้วนะ
การให้อภัยเป็นสิทธิ์เฉพาะของพระเจ้าที่จะให้แก่มนุษย์
แม่ให้อภัยลูกไม่ได้หรอก เมื่อลูกคิดว่าตัวเองทำผิดและต้องการการอภัย
ขอจากพระเจ้านะ ส่วนแม่จะขออยู่ข้าง ๆ เพื่อช่วยลูกในทุก ๆ เรื่องนะจ้ะ”

 

โดย คุณรอหรรษ์