ทำไมต้องให้อภัย

(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

เมื่อใดก็ตามที่คนธรรมดาสามัญอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ นี้ต้องถูกกระทำให้เสียใจ, 
เจ็บปวดหรือสูญเสีย ปฏิกิริยาแรกที่เกิดขึ้นในจิตใจคือความโกรธแค้นและ
ความต้องการการชดใช้ทางใดทางหนึ่งเท่าที่จะพอใจ คนเราส่วนใหญ่
ดูราวกับไม่ทราบว่าการชดใช้ ไม่ว่ามากมายสักเพียงใดก็ตามนั้น 
ไม่สามารถทดแทนกับความรู้สึกเจ็บปวดที่ถูกกระทำไปแล้วอยู่ดี 
มันเป็นเสมือนแผลที่ถูกทำให้เกิดขึ้นแล้ว และไม่ว่าเราจะสามารถ
สนองคืนแก่ผู้ที่กระทำต่อเรานั้น ด้วยแผลที่ใหญ่กว่าและ
เจ็บกว่าได้มากมายสักเพียงใด เจ้าแผลที่มีนั้นหาได้ลบเลือนไป
จากเราเลย สัมผัสถูกทีไรจำให้ต้องเจ็บกลับขึ้นมาใหม่ได้ทุกครั้งไป 
ดังนั้นการชดใช้จึงไม่ใช่คำตอบ ... ใช่หรือไม่? แล้วอะไรคือคำตอบ...?

มีนักคิด, นักเขียน, นักปราชญ์และนักปรัชญาจำนวนมากที่โลกยอมรับ
ในสติปัญญาได้กล่าวถึงหนทางแห่งการหลุดพ้นความเจ็บปวด
จากการถูกกระทำในรูปของคำคมไว้มากมาย 
และจากการที่ได้รับการบันทึกไว้และถ่ายทอดกันมาจนปัจจุบัน
น่าจะถือได้ว่าเป็นที่ยอมรับหรือจะเรียกว่า “โดนใจ” 
ผู้คนในทุกยุคทุกสมัยก็คงไม่ผิดนัก ลองมาพิจารณาดูกัน เช่น

  • เมื่อคุณยังคงเก็บความเจ็บแค้นที่มีต่อใครคนหนึ่งไว้ 
    มันเท่ากับว่าคุณยึดตัวเองไว้กับคน ๆ นั้นด้วยพันธนาการทาง
    จิตใจที่แข็งแกร่งกว่าเหล็กกล้า 
    การให้อภัยเป็นหนทางเดียวที่จะทำลายพันธนาการนั้น
    และปลดปล่อยตนเองสู่อิสรภาพ - Catherine Ponder

  • การให้อภัยคือรูปแบบที่สูงส่งที่สุดและงดงามที่สุด
    ของการให้ความรัก แล้วคุณจะได้รับสันติและ
    ความสุขที่แฝงอยู่เป็นการตอบแทน - Robert Muller

  • จงให้อภัยแก่ศัตรูของคุณเสมอ - 
    ไม่มีอะไรจะสร้างความรำคาญใจให้เขาได้
    มากกว่านั้นอีกแล้ว - Oscar Wilde

  • จงอภัยเพื่อปลดปล่อยนักโทษคนหนึ่งสู่อิสรภาพเถิด 
    แล้วคุณจะพบว่านักโทษที่ได้รับอิสระ
    แล้วคนนั้นคือคุณเอง - Lewis B. Smede

  • คนอ่อนแอไม่สามารถให้อภัยใครได้หรอก
    การให้อภัยนั้นเป็นคุณสมบัติพิเศษของ
    ผู้ที่เข้มแข็งเท่านั้น - Mahatma Gandhi

  • คุณไม่สามารถกลับไปแก้ไขความผิดพลาด
    ที่คุณได้ทำไปแล้ว แต่คุณสามารถเผชิญหน้ากับมัน 
    คุณสามารถพูดความจริง คุณสามารถวอนขอการอภัย 
    แล้วจากนั้นก็แค่ปล่อยให้พระเจ้าทรงจัดการส่วนที่เหลือ – นิรนาม

  • การให้อภัยอย่างจริงใจนั้นไม่เคลือบแฝงด้วยความคาดหวัง
    ในความเสียใจที่ได้กระทำผิดหรือการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของเขา 
    อย่าไปห่วงว่าในที่สุดเขาจะเข้าใจคุณหรือไม่เลย 
    จงรักและให้อิสรภาพแก่เขาเถิด เราแต่ละคนจะต้องได้รับผล
    ของความจริงที่กระทำทางใดทางหนึ่งในวันใดวันหนึ่ง - Sara Paddison

  • คนเรามักพบว่ามันง่ายที่จะให้อภัยเมื่อผู้อื่นทำผิดมากกว่า
    เมื่อเขาทำถูกต้อง - Joanne Kathleen Rowling

  • คนโง่เขลาไม่ให้อภัยและไม่ลืมความผิดใคร 
    ส่วนคนไม่ประสีประสามักให้อภัยและลืมความผิดนั้น 
    แต่คนฉลาดให้อภัยแต่ไม่เคยลืมความผิดนั้นเลย - Thomas S. Szasz

  • ความรักคือการให้อภัยอันไม่สิ้นสุด - Peter Ustinov

  • คนเราส่วนใหญ่สามารถให้อภัยได้ 
    เพียงแต่เราไม่ต้องการให้เขาลืมว่าเราเคยให้อภัยเขาแล้ว - Ivern Ball

  • คุณจะรู้ว่าการให้อภัยได้เกิดขึ้นแล้ว 
    ก็ต่อเมื่อคุณได้นึกถึงหน้าของคนที่ทำให้คุณเจ็บ
    แต่กลับรู้สึกถึงแรงปรารถนาดีที่มีให้เขา - Lewis B. Smedes

  • การกล่าวว่า “ฉันให้อภัยก็ได้แต่จะไม่มีวันลืมความผิดนั้นเลย” 
    ก็ไม่ต่างกับการกล่าวว่า “ฉันไม่มีวันจะให้อภัย 
    เพราะการให้อภัยก็เท่ากับยกเลิกบันทึกนั้น, ฉีกทึ้งและเผาทิ้ง
    ทำให้ฉันไม่สามารถเอามันมาประจานน่ะสิ” - Henry Ward Beecher

  • การให้อภัยทุกครั้งไปนั้นไร้มนุษยธรรมไม่ต่างกันกับ
    การไม่ให้อภัยเลย – Seneca

  • ไม่มีอนาคตหากปราศจากการให้อภัย - Desmond Tutu

  • การให้อภัยคือการแก้แค้นอันแสนหวาน - Isaac Friedmann

  • เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร – พุทธสุภาษิต

คำคมทำนองเดียวกันนี้ยังมีอีกมากมาย อย่างไรก็ตามอาจกล่าวได้ว่า
ทั้งหมดนั้นเพียงเพื่อบอกว่า “การให้อภัย” คือหนทางเดียว
ที่สามารถลบเลือนร่องลอยจากเหตุแห่งการถูกกระทำและ
หลุดพ้นจากผลแห่งความเจ็บปวดอย่างแท้จริง ... เพียงแค่นี้เองหรือ? 
มันง่ายแค่นี้เองแล้วทำไมคนเรายังคงต้องทุกข์ทน
กับรอยแผลเหล่านั้นอยู่อีกเล่า? ทำไมยังคงมีการล้างแค้น
ที่เป็นปัญหาต่อเนื่องกันไม่จบสิ้น? หากพิจารณาดูจะพบว่า
เพียงแค่การ ”รู้เหตุแห่งปัญหา” นั้น ไม่ใช้ “คำตอบ” เพราะการพูดมันง่าย 
แต่การทำนั้นยาก เรื่องการจะให้อภัยใครที่คิดร้ายทำร้ายต่อเรานั้น
หากเจอเข้ากับตัวเองจริง ๆ ไม่เพียงแค่ว่าทำได้ยาก
แต่อาจทำไม่ได้เลยเสียด้วยซ้ำไป มีประโยชน์อะไรเมื่อรู้ว่า
หนทางแก้ไขเป็นอย่างไรแต่ทำไม่ได้ ... ? การให้อภัยทำได้อย่างไร ...?

คงไม่มีใครไม่ทราบว่าพระเยซูเจ้าทรงถูกตัดสินประหารชีวิต
โดยไม่มีความผิด ถูกทรมานและทำร้ายร่างกาย
อย่างทารุณไร้มนุษยธรรม ถูกทำลายศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์โดย
การสบประมาทอย่างเลวทรามต่ำช้า และที่สำคัญ 
การถูกกระทำทั้งหมดดังกล่าวเกิดขึ้นต่อหน้าแม่ที่แสนรัก 
นั่นหมายถึงการกระทำย่ำยีหัวใจของผู้ที่พระองค์ทรงรัก
ให้ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสจนตายทั้งเป็นอีกด้วย 
ลองจินตนาการว่าคุณต้องตกอยู่ในสถานะเดียวกันนี้กับพระองค์ดู 
ลองประเมินว่าคุณจะสามารถพูดประโยคเดียวกัน
กับพระองค์ได้ไหม? ...ประโยคที่ว่า

“พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด 
เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” (ลูกา 23:34)

พระเยซูเจ้าทรงตรัสถึงการให้อภัยหลายครั้งซึ่งถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ 
แต่ที่สำคัญคือพระองค์ขณะที่เป็นมนุษย์ทรงปฏิบัติได้จริงและ
เป็นแบบอย่างอันยิ่งใหญ่ แปลว่า ”การให้อภัย” เยี่ยงเดียวกับพระองค์นั้น
สามารถเกิดขึ้นได้กับเรามนุษย์ธรรมดา ๆ นี้เช่นกัน ... 
แล้วพระเยซูเจ้าในฐานะมนุษย์ในเวลานั้นที่กำลังจะตายบนไม้กางเขน ... 
ทรงให้อภัยได้อย่างไรกัน?

คำตอบไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะให้อภัยได้อย่างไร หากสังเกตสิ่งที่
พระเยซูเจ้าตรัสอีกครั้ง “พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด 
เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” จะพบว่าพระองค์ไม่ได้ทรงเป็นผู้กระทำการ 
“ให้อภัย” แต่พระองค์ทรงวอนขอพระบิดาเจ้าทรงอภัยความผิดมหันต์
ของมนุษย์นั้นต่างหาก พระองค์ไม่ทรงถือว่าพระองค์ถูกกระทำอะไรเลย 
คำตอบคือ “การยอมรับและความอ่อนน้อม”

  • การยอมรับสถานะแท้จริงในความเป็นมนุษย์ มนุษย์หรือ
    สิ่งมีชีวิตที่ไร้ซึ่งทุกสิ่งและไม่สามารถดำรงคงอยู่ได้โดยปราศจากพระเจ้า 
    เมื่อความจริงคือเราไม่มีอะไรเสียแล้วใครจะเอาอะไรจากเราได้เล่า? 
    เมื่อใดที่เรารู้สึกโกรธเพราะถูกกระทำ นั่นเป็นเพราะเราถือว่า
    เราเป็นของเรา เราเป็นเจ้าของนั่น เราเป็นเจ้าของนี่ 
    เราหลงไปกับความเชื่อของเราเองว่าเรามีอะไรบางอย่างให้สูญเสียได้
    ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วเราไม่มีอะไรเลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของพระเจ้า

  • ความอ่อนน้อมต่อพระเจ้าที่ทำให้เรามุ่งเข้าสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ 
    มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้พระองค์ทรงกระทำความดีงามต่าง ๆ ผ่านทางเราได้
    พระเยซูเจ้าตรัสว่า

“ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ ก็เป็นไปได้สำหรับพระเจ้า” (ลูกา 18:27)

หมายความว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างเราสามารถก่อให้เกิดได้ทุกสิ่ง
แม้แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพียงยอมให้พระเจ้าทรงใช้เราเป็นเครื่องมือของพระองค์

ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำเพื่อให้ความดีงามซึ่งรวมทั้งการให้อภัยเกิดขึ้นแก่โลก
และตัวเองคือการยอมรับความจริงว่าต้องการพระเจ้าและ
น้อมรับพระองค์ให้เข้ามาครอบครองชีวิตทั้งครบเท่านั้น 
พระเยซูเจ้าทรงแสดงตัวอย่างอันสมบูรณ์ของ “การให้อภัย” 
มันเป็นความดีงามที่พระเจ้าทรงกระทำแก่มนุษย์ผ่านทางบุคคลอย่างเรา 
เป็นความรักที่พระเจ้าทรงมอบแก่เราทุกคนเพื่อการดำรงอยู่และ
ดำเนินไปสู่สันติสุขในพระองค์ร่วมกันในที่สุด

 

โดย คุณรอหรรษ์