(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
เมื่อใดก็ตามที่คนธรรมดาสามัญอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ นี้ต้องถูกกระทำให้เสียใจ,
เจ็บปวดหรือสูญเสีย ปฏิกิริยาแรกที่เกิดขึ้นในจิตใจคือความโกรธแค้นและ
ความต้องการการชดใช้ทางใดทางหนึ่งเท่าที่จะพอใจ คนเราส่วนใหญ่
ดูราวกับไม่ทราบว่าการชดใช้ ไม่ว่ามากมายสักเพียงใดก็ตามนั้น
ไม่สามารถทดแทนกับความรู้สึกเจ็บปวดที่ถูกกระทำไปแล้วอยู่ดี
มันเป็นเสมือนแผลที่ถูกทำให้เกิดขึ้นแล้ว และไม่ว่าเราจะสามารถ
สนองคืนแก่ผู้ที่กระทำต่อเรานั้น ด้วยแผลที่ใหญ่กว่าและ
เจ็บกว่าได้มากมายสักเพียงใด เจ้าแผลที่มีนั้นหาได้ลบเลือนไป
จากเราเลย สัมผัสถูกทีไรจำให้ต้องเจ็บกลับขึ้นมาใหม่ได้ทุกครั้งไป
ดังนั้นการชดใช้จึงไม่ใช่คำตอบ ... ใช่หรือไม่? แล้วอะไรคือคำตอบ...?
มีนักคิด, นักเขียน, นักปราชญ์และนักปรัชญาจำนวนมากที่โลกยอมรับ
ในสติปัญญาได้กล่าวถึงหนทางแห่งการหลุดพ้นความเจ็บปวด
จากการถูกกระทำในรูปของคำคมไว้มากมาย
และจากการที่ได้รับการบันทึกไว้และถ่ายทอดกันมาจนปัจจุบัน
น่าจะถือได้ว่าเป็นที่ยอมรับหรือจะเรียกว่า “โดนใจ”
ผู้คนในทุกยุคทุกสมัยก็คงไม่ผิดนัก ลองมาพิจารณาดูกัน เช่น
|
---|
คำคมทำนองเดียวกันนี้ยังมีอีกมากมาย อย่างไรก็ตามอาจกล่าวได้ว่า
ทั้งหมดนั้นเพียงเพื่อบอกว่า “การให้อภัย” คือหนทางเดียว
ที่สามารถลบเลือนร่องลอยจากเหตุแห่งการถูกกระทำและ
หลุดพ้นจากผลแห่งความเจ็บปวดอย่างแท้จริง ... เพียงแค่นี้เองหรือ?
มันง่ายแค่นี้เองแล้วทำไมคนเรายังคงต้องทุกข์ทน
กับรอยแผลเหล่านั้นอยู่อีกเล่า? ทำไมยังคงมีการล้างแค้น
ที่เป็นปัญหาต่อเนื่องกันไม่จบสิ้น? หากพิจารณาดูจะพบว่า
เพียงแค่การ ”รู้เหตุแห่งปัญหา” นั้น ไม่ใช้ “คำตอบ” เพราะการพูดมันง่าย
แต่การทำนั้นยาก เรื่องการจะให้อภัยใครที่คิดร้ายทำร้ายต่อเรานั้น
หากเจอเข้ากับตัวเองจริง ๆ ไม่เพียงแค่ว่าทำได้ยาก
แต่อาจทำไม่ได้เลยเสียด้วยซ้ำไป มีประโยชน์อะไรเมื่อรู้ว่า
หนทางแก้ไขเป็นอย่างไรแต่ทำไม่ได้ ... ? การให้อภัยทำได้อย่างไร ...?
คงไม่มีใครไม่ทราบว่าพระเยซูเจ้าทรงถูกตัดสินประหารชีวิต
โดยไม่มีความผิด ถูกทรมานและทำร้ายร่างกาย
อย่างทารุณไร้มนุษยธรรม ถูกทำลายศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์โดย
การสบประมาทอย่างเลวทรามต่ำช้า และที่สำคัญ
การถูกกระทำทั้งหมดดังกล่าวเกิดขึ้นต่อหน้าแม่ที่แสนรัก
นั่นหมายถึงการกระทำย่ำยีหัวใจของผู้ที่พระองค์ทรงรัก
ให้ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสจนตายทั้งเป็นอีกด้วย
ลองจินตนาการว่าคุณต้องตกอยู่ในสถานะเดียวกันนี้กับพระองค์ดู
ลองประเมินว่าคุณจะสามารถพูดประโยคเดียวกัน
กับพระองค์ได้ไหม? ...ประโยคที่ว่า
“พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด
เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” (ลูกา 23:34)
พระเยซูเจ้าทรงตรัสถึงการให้อภัยหลายครั้งซึ่งถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์
แต่ที่สำคัญคือพระองค์ขณะที่เป็นมนุษย์ทรงปฏิบัติได้จริงและ
เป็นแบบอย่างอันยิ่งใหญ่ แปลว่า ”การให้อภัย” เยี่ยงเดียวกับพระองค์นั้น
สามารถเกิดขึ้นได้กับเรามนุษย์ธรรมดา ๆ นี้เช่นกัน ...
แล้วพระเยซูเจ้าในฐานะมนุษย์ในเวลานั้นที่กำลังจะตายบนไม้กางเขน ...
ทรงให้อภัยได้อย่างไรกัน?
คำตอบไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะให้อภัยได้อย่างไร หากสังเกตสิ่งที่
พระเยซูเจ้าตรัสอีกครั้ง “พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด
เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” จะพบว่าพระองค์ไม่ได้ทรงเป็นผู้กระทำการ
“ให้อภัย” แต่พระองค์ทรงวอนขอพระบิดาเจ้าทรงอภัยความผิดมหันต์
ของมนุษย์นั้นต่างหาก พระองค์ไม่ทรงถือว่าพระองค์ถูกกระทำอะไรเลย
คำตอบคือ “การยอมรับและความอ่อนน้อม”
“ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ ก็เป็นไปได้สำหรับพระเจ้า” (ลูกา 18:27) |
---|
หมายความว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างเราสามารถก่อให้เกิดได้ทุกสิ่ง
แม้แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพียงยอมให้พระเจ้าทรงใช้เราเป็นเครื่องมือของพระองค์
ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำเพื่อให้ความดีงามซึ่งรวมทั้งการให้อภัยเกิดขึ้นแก่โลก
และตัวเองคือการยอมรับความจริงว่าต้องการพระเจ้าและ
น้อมรับพระองค์ให้เข้ามาครอบครองชีวิตทั้งครบเท่านั้น
พระเยซูเจ้าทรงแสดงตัวอย่างอันสมบูรณ์ของ “การให้อภัย”
มันเป็นความดีงามที่พระเจ้าทรงกระทำแก่มนุษย์ผ่านทางบุคคลอย่างเรา
เป็นความรักที่พระเจ้าทรงมอบแก่เราทุกคนเพื่อการดำรงอยู่และ
ดำเนินไปสู่สันติสุขในพระองค์ร่วมกันในที่สุด
โดย คุณรอหรรษ์