ตอนที่ 16
อัตตลักษณ์และโครงสร้างพระศาสนจักรคาทอลิก (สากล)
คำว่า “พระศาสนจักร” (Church หรือ Ecclesia) มาจากคำไทย 2 คำคือ พระศาสนา + อาณาจักร หมายถึง สังคมของผู้ที่มีความเชื่อเดียวกันตามหลักคำสอนของคริสตศาสนาที่มีรากฐานจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และธรรมประเพณี และมีพิธีกรรมปฏิบัติเหมือนกัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปแบบที่กำหนดขอบเขตทางภูมิศาสตร์เฉกเช่นประเทศหรืออาณาจักรทั้งหลาย หากแต่เป็นการรวมกันของชุมชนแห่งความเชื่อ ความศรัทธา และแนวปฏิบัติทางความเชื่อของศาสนานั้นๆ ดังนั้น สมาชิกของพระศาสนจักรจึงมีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง จะไม่จำกัดเชื้อชาติ เผ่าพันธ์ วัฒนธรรม และภาษา ส่วนคำว่า “คาทอลิก” แปลว่า สากล ดังนั้น พระศาสนจักรคาทอลิก คือ ชุมชนแห่งความเชื่อ ความศรัทธาในพระเจ้าที่เป็นสากลสู่ทุกวัฒนธรรมแห่งปวงชน
พระศาสนจักรคาทอลิกมีลักษณะที่สำคัญ 4 ประการ กล่าวคือ
1. ความเป็นเอกภาพ กล่าวคือ มีความเป็นหนึ่งเดียวกันทั่วโลก โดยมีสมเด็จพระสันตะปาปาทรงเป็นพระประมุขสูงสุดแห่งความเชื่อ มีกฏหมายภายในหรือกฎพระวินัย มีกฎระเบียบหลักปฏิบัติสู่ความเชื่อเดียวกัน มีพิธีกรรมเหมือนกัน มีกิจกรรมส่งเสริมความศรัทธาเดียวกันแม้จะแตกต่างทางวัฒนธรรม จากความหลากหลายในความเป็นหนึ่งเดียว จากพหุลักษณ์แต่เป็นอัตลักษณ์เดียวชัดเจน เราจึงสังเกตได้ว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนของมุมโลก เราก็สามารถร่วมพิธีกรรมกันได้ เพียงแต่จะแตกต่างที่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น ภาษาและประเพณีบางอย่าง ส่วนแก่นแท้และเนื้อหาสาระสำคัญยังคงเหมือนกันหมด เช่น พิธีบูชาขอบพระคุณ (Holy Mass) เป็นต้น
การปกครองของพระศาสนจักรคาทอลิก มีลักษณะการปกครองในทำนองสมบูรณาญาสิทธิราช คือคล้ายๆ การปกครองในระบบกษัตริย์ มีลักษณะเหมือนปิระมิดซึ่งผู้ที่อยู่สูงสุดคือ สมเด็จพระสันตะปาปา ผู้สืบตำแหน่งจากนักบุญเปโตร (เซนต์ปีเตอร์) พระสันตะปาปาพระองค์แรก อัครสาวกเอกของพระเยซูคริสต์ ดังนั้น จึงมีการมอบอำนาจการสั่งสอนเป็นขั้นตอนลงมา ซึ่งเป็นอำนาจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพระสัจธรรม หรือคำสอนทางคริสตศาสนาเท่านั้น พระศาสนจักรสากล (หรือศูนย์กลางปกครองแม่ที่เป็นร่มใหญ่สุด) เป็นศูนย์กลางตั้งอยู่ที่สันตะสำนัก ณ นครรัฐวาติกัน กรุงโรม ถ่ายทอดอำนาจการเทศน์สอนความเชื่อของคริสตศาสนามายังทวีปพระศาสนจักรท้องถิ่นในทุกทวีป ลงมายังประเทศที่ตั้งอยู่ในทวีปนั้นๆ และในแต่ละประเทศก็แยกเป็นเขตศาสนปกครอง (Diocese) ซึ่งแต่ดั้งเดิมเราเรียกว่า “มิสซัง” (ภาลาติน MISSIO) แปลว่า เขตศาสนปกครองหรือเขตบริหารงานการศาสนาคริสต์ของนิกายโรมันคาทอลิก บางประเทศมีเป็นร้อยเขต ภายใต้แต่ละเขตศาสนาปกครองก็จะแตกย่อยมาเป็นวัด (churches) ในเขตศาสนปกครองนั้นๆ บางแห่งยังแยกเป็นการดูแลกลุ่มคริสตชนเล็กๆ ที่อาจไม่สะดวกต่อการมาวัดของสัตบุรุษเพราะอยู่ห่างไกล ดังนั้นภายใต้การปกครอง วัดบางวัดจึงมีหน่วยดูแลย่อยเรียกว่า “สถานสอนคำสอน” ซึ่งเป็นหน่วยเล็กๆ ที่พักพิง เพื่อการดูแลผู้ที่มีความศรัทธา (Mission Station)
ถ้าหากเรามองปิระมิดในลักษณะจากด้านฐานล่างถึงจุดสุดยอด พระศาสนจักรท้องถิ่นเกิดขึ้นดังนี้ เริ่มจากครอบครัวที่มีความเชื่อเดียวกัน กลายเป็นหมู่บ้าน จากนั้นจึงรวมกันประกอบศาสนกิจ ณ ศูนย์รวมศรัทธาแห่งหนึ่ง (Mission Station) ผู้ดูแลอาจจะเป็นบาทหลวง หรือนักบวช หรือฆราวาสผู้มีความศรัทธาดีได้รับความไว้วางใจ เมื่อหมู่บ้านหลายๆ หมู่บ้านอยู่ใกล้ๆ กันมีความเชื่อเดียวกัน จึงกลายเป็นชุมชนแห่งความเชื่อ อาจจะมี 500 - 1000 คน จึงสร้างเป็นวัด ผู้ดูแลวัดคือบาทหลวง เมื่อวัดในเขตละแวกใกล้เคียงมีจำนวนเพิ่มขึ้นหลายวัดซึ่งทำให้ชุมชนความเชื่อใหญ่ขึ้น รวมกันหลายจังหวัด ประมุขผู้ปกครองจึงนำเสนอเพื่อยกระดับเป็น “เขตศาสนปกครอง” (Diocese) โดยคณะบาทหลวง คณะนักบวชชายหญิง สัตบุรุษในเขตนั้นๆ จะสรรหาผู้นำสูงสุดในเขตนั้น ปกติจะสรรหาจากบรรดาบาทหลวงท้องถิ่นที่มีความโดดเด่น มีคุณลักษณะเพียบพร้อมจำนวน 3 บุคคล และส่งชื่อไปให้พระสันตะปาปาทรงพิจารณา เพื่อทรงแต่งตั้งบุคคลหนึ่งในสามให้บวชเป็นบิช็อป (หรือมุขนายก) บิช็อปผู้นี้มีอำนาจเต็มในการปกครองต่อบรรดาบาทหลวง นักบวชชาย-หญิง สัตบุรุษ และเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดในเขตศาสนปกครอง และศาสนกิจเฉพาะในเขตของท่านเท่านั้น บรรดาบิช็อปทั่วโลกต้องมีความผูกพันในความเชื่อกับสมเด็จพระสันตะปาปา ถ้าหากเป็นเขตศาสนปกครองที่มีชุมชนความเชื่อขนาดใหญ่ มีจำนวนศาสนิกคาทอลิกมาก บิช็อปอาจได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็น “อาร์คบิช็อป” (เช่น เขตศาสนปกครองแห่งกรุงเทพฯ และที่ท่าแร่-หนองแสง) ส่วนการเป็นพระคาร์ดินัลนั้น อาร์คบิช็อปหรือบิช็อปบางองค์ หรือ แม้แต่บาทหลวง นักบวช ที่มีความโดดเด่นในพระศาสนจักรคาทอลิกจะได้รับเกียรติสถาปนาจากพระประสงค์ของสันตะปาปาเท่านั้นเพื่อให้เป็นที่ปรึกษาพิเศษ และให้ท่านมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกพระสันตะปาปา ในกรณีตำแหน่งพระสันตะปาปาว่างเว้นลง ด้วยเหตุนี้พระศาสนจักรคาทอลิกจึงเป็นชุมชนแห่งความเชื่อที่มีเอกภาพในระดับสากล
อนึ่ง รูปแบบการปกครองของพระศาสนจักรคาทอลิกนี้ จึงเป็นไปตามรูปแบบการปกครองภายในศาสนจักรและเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อเดียวกันในพระเยซูคริสต์มีพระคัมภีร์ไบเบิ้ลและธรรมประเพณี หรือหลักการปฏิบัติเดียวกัน ซึ่งจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองหรือเรื่องอำนาจฝ่ายอาณาจักรทางโลก ขณะเดียวกันคริสตชนคาทอลิกทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ วัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ และเป็นหน้าที่ที่จะต้องส่งเสริมสันติภาพ และความมั่นคงในประเทศนั้นๆ ที่ไม่มีความขัดแย้งต่อหลักศีลธรรม และจริยธรรมสากล ดังนั้น การปกครองของศาสนจักรคาทอลิกจึงเป็นไปเฉพาะของความเชื่อถือ และการปฏิบัติศาสนกิจเท่านั้น
2. ศักดิ์สิทธิภาพ เราเชื่อว่าพระศาสนจักรมีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะผู้ที่สถาปนาก่อตั้งพระศาสนจักรคาทอลิกนั้น คือ องค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งชาวคริสต์เชื่อว่าพระองค์คือพระเจ้าที่ประสูติเป็นมนุษย์ และมาเป็นพระผู้ไถ่บาปมนุษยชาติ ความเชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักรนี้ ทำให้บรรดาคริสตชนคาทอลิกมีความมั่นใจและศรัทธา ไว้วางใจในพระเมตตาของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม และพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระศาสนจักรอย่างเต็มที่ โดยผ่านทางผู้แทนของพระองค์ในโลกนี้
3. สากลภาพ เราอาจได้ยินบ่อยๆ ว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาฝรั่งแต่ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะศาสนาคริสต์คาทอลิกมีความเป็นสากล (คำว่า Chatolic แปลว่า สากล) กล่าวคือ เป็นของมนุษยชาติทุกคนทุกชาติทุกภาษา ทุกวัฒนธรรม แผ่ไปทั่วทุกมุมโลก มิได้จำกัดอยู่เพียงชาติใดชาติหนึ่งเท่านั้น ทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้า ประชากรของพระเจ้า เป็นผู้ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาทั้งสิ้น ทุกคนมีความเป็นบุตรของพระองค์ ที่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกันและมีเสรีภาพในความเชื่อ ความศรัทธาตามมโนธรรมของแต่ละบุคคลซึ่งเป็นพื้นฐานแห่งการเป็นมนุษย์และในทางประวัติศาสตร์ พระเยซูคริสต์ผู้เป็นศาสดาแห่งคริสตศาสนา ทรงเป็นชาวยิว ประเทศอิสราเอล ซึ่งเป็นประเทศหนึ่งในทวีปเอเชีย ดังนั้นคริสตศาสนาจึงเป็นศาสนาของเอเชีย ไม่ใช่ศาสนาฝรั่งหรือมีกำเนิดมาจากฝรั่ง เพียงแต่ผู้ที่มาเผยแผ่คริสตศาสนา ณ ทวีปเอเชียท่านเป็นฝรั่ง ดังนั้น ชาวไทยหลายคนจึงฝังใจว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาฝรั่ง คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกเรื่องการเผยแผ่ศาสนา โดยเฉพาะสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสเน้นย้ำเสมอว่า พระศาสนจักรไม่อาจบังคับผู้ใดให้เปลี่ยนศาสนาได้ (proselytism) แต่พระศาสนจักรมีหน้าที่ในการประกาศข่าวดีของพระเจ้าสู่ปวงชน มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพที่จะเลือกนับถือศาสนาได้ เพราะพระเจ้าแม้จะทรงประสงค์ให้มนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกัน มุ่งไปสู่ความรอดเดียวกัน แต่ก็มิได้ทรงบังคับมนุษย์ ยังคงประทานอิสรภาพในการเลือกของมนุษย์ตามมโนธรรม และนี่เองทำให้มนุษย์ต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเองด้วย
“NOSTRA AETATE” (เอกสาร สภาสังคายนาวาติกัน ที่ 2 ชื่อ “ในยุคของเรา”)
“พระศาสนจักรคาทอลิกไม่ปฏิเสธสิ่งใดที่เป็นความจริงและศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาอื่น พระศาสนจักรพิจารณาด้วยความเคารพอย่างจริงใจ ซึ่งวิธีปฏิบัติและดำรงชีวิต รวมถึงกฎและพระธรรมคำสอนเหล่านี้ แม้ว่าจะแตกต่างกับที่ตนเองถือและสอนหลายประการ.... พระศาสนจักร เตือนลูกๆ ให้รับรู้ สงวนรักษา และส่งเสริมสิ่งดีงามทางจิตใจและทางศีลธรรม ที่พบได้ในผู้ที่ไม่ใช่คริสตชน รวมทั้งคุณค่าต่างๆ ในสังคม และวัฒนธรรมของเขาเหล่านั้น ขอให้ลูกๆ ทำเช่นนี้ โดยการเสวนา และร่วมมือทำงานกับบรรดาสมาชิกของศาสนาอื่น ด้วยความรักและฉลาดรอบคอบ และด้วยการเจริญชีวิตคริสตชนเป็นสักขีพยานในความเชื่อของตน” (Nostra Aetate ข้อ 2)
4. สืบเนื่องมาจากอัครสาวก คริสตชนคาทอลิกเชื่อว่าพระศาสนจักรคาทอลิกสืบทอดความเชื่อ ความศรัทธา สืบเนื่องพันธกิจต่อมาจากบรรดาอัครสาวก (The Apostles ซึ่งมี 12 ท่าน ที่เป็นศิษย์ใกล้ชิดของพระเยซูคริสต์) คือ บรรดาอาร์คบิช็อป (Archbishops) หรือบิช็อป (Bishops) บรรดาบาทหลวง (priests) และนักบวช (religious) คือ ศิษย์พระคริสต์ ที่เป็นผู้ร่วมงานศาสนกิจภายใต้การนำของบิช็อปในเขตศาสนปกครอง ส่วนตำแหน่งพระสันตะปาปา ท่านเป็นหัวหน้าของบรรดาอัครสาวก คือ พระองค์ท่านสืบทอดตำแหน่งมาจากสมเด็จพระสันตะปาปาองค์แรก “นักบุญเปโตร” (Saint Peter) ซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสเป็นพระสันตะปาปา องค์ที่ 266 แห่งพระศาสนจักรสากล และ การสืบทอดต่อกันมาตลอดนี้ทำให้พระศาสนจักรดำรงคงอยู่เสมอ อันเป็นโครงสร้างสากล และจะดำรงคงอยู่เช่นนี้ตลอดไป