ลาซารัสเพื่อนสนิทของพระเยซูเจ้า หลังจากที่พระองค์ปลุกเขาให้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง ... ก้าวต่อไปของลาซารัสเป็นอย่างไร?
ลาซารัสเป็นชื่อกรีก “Lazaros”ซึ่งมาจาก“Eleazar” ซึ่งในภาษาฮีบรู หมายถึง“พระเจ้าคือความช่วยเหลือของข้าพเจ้า”
การกลับคืนชีพของลาซารัส ยน 11:1-44
ผู้นำชาวยิวตกลงที่จะประหารพระเยซูเจ้ายน 11:45-54
45ชาวยิวหลายคนที่มาเยี่ยมมารีย์และเห็นสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำก็เชื่อในพระองค์46แต่บางคนไปพบชาวฟาริสีเล่าเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำให้ฟัง47บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีจึงเรียกประชุมสภาปรึกษากันว่า“พวกเราจะทำอย่างไรดีเพราะคนคนนี้ได้ทำเครื่องหมายอัศจรรย์หลายอย่าง”48ถ้าเราปล่อยเขาไว้อย่างนี้ทุกคนจะเชื่อเขาแล้วชาวโรมันก็จะมาทำลายทั้งพระวิหารและชนชาติของเรา”49คนหนึ่งในที่ประชุมชื่อคายาฟาสเป็นมหาสมณะในปีนั้นกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายไม่เข้าใจอะไรเลย50ท่านไม่คิดหรือว่าถ้าคนคนเดียวจะตายเพื่อประชาชนจะเป็นประโยชน์มากกว่าที่ชนทั้งชาติจะต้องพินาศไป”51เขาไม่ได้พูดเช่นนี้ตามใจตนเองแต่ในฐานะที่เป็นมหาสมณะในปีนั้นเขาประกาศพระวาจาว่าพระเยซูเจ้าจะต้องสิ้นพระชนม์เพื่อชนทั้งชาติ52และไม่ใช่เพื่อชนทั้งชาติเท่านั้นแต่เพื่อจะรวบรวมบรรดาบุตรของพระเจ้าทรงกระจัดกระจายอยู่ให้กลับเป็นหนึ่งเดียวกัน53ตั้งแต่วันนั้นที่ประชุมได้ตกลงกันที่จะประหารพระองค์54ดังนั้นพระเยซูเจ้าจึงไม่เสด็จไปที่ใดอย่างเปิดเผยในหมู่ชาวยิวอีกต่อไปแต่เสด็จไปที่เมืองชื่อเอฟราอิมในเขตแดนใกล้ถิ่นทุรกันดารและทรงพำนักอยู่ที่นั่นกับบรรดาศิษย์
การเจิมที่เบธานียน 12:1-11
1หกวันก่อนฉลองปัสกาพระเยซูเจ้าเสด็จไปที่หมู่บ้านเบธานีตำบลที่อยู่ของลาซารัสที่พระองค์ทรงทำให้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย2ผู้คนที่นั่นจัดงานเลี้ยงเป็นเกียรติแด่พระองค์มารธาคอยรับใช้ขณะที่ลาซารัสเป็นคนหนึ่งที่ร่วมโต๊ะกับพระองค์ด้วย3มารีย์ใช้น้ำมันหอมสมุนไพรบริสุทธิ์ราคาแพงหนักหนึ่งปอนด์ชโลมพระบาทของพระเยซูเจ้าและใช้ผมเช็ดพระบาทกลิ่นน้ำมันหอมอบอวลไปทั่วบ้าน4ยูดาสอิสคาริโอทศิษย์คนหนึ่งที่จะทรยศต่อพระองค์พูดว่า5“ทำไมไม่เอาน้ำมันหอมนี้ไปขายราคาสามร้อยเหรียญแล้วนำเงินไปแจกให้คนยากจนเล่า” 6ที่เขาพูดเช่นนี้มิใช่เพราะเขาห่วงใยคนยากจนแต่เพราะเขาเป็นขโมยเขาเป็นผู้ถือถุงเงินและยักยอกเงินในถุงนั้น7พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ช่างเถิดปล่อยให้นางเก็บน้ำมันหอมนี้ไว้สำหรับวันฝังศพของเรา8คนยากจนนั้นอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอแต่เราจะไม่อยู่กับท่านตลอดไป”
9ชาวยิวจำนวนมากรู้ว่าพระองค์ประทับอยู่ที่นั่นจึงมามิใช่เพียงเพื่อเฝ้าพระเยซูเจ้าแต่เพื่อมาดูลาซารัสซึ่งพระองค์ได้ทรงทำให้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย10บรรดาหัวหน้าสมณะจึงตกลงกันจะฆ่าลาซารัสด้วย11เพราะลาซารัสทำให้ชาวยิวจำนวนมากไปเฝ้าพระเยซูเจ้าและเชื่อในพระองค์
ตามที่เราทราบ พระเยซูเจ้าไม่หนี แต่ลาซารัสหนี และมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมา 2 แนวทาง
แนวทางแรกเป็นของพวกออร์โธดอกซ์ แนวทางนี้สอนว่าลาซารัสหนีมาที่เกาะไซปรัสและได้พบกับเปาโลและบารนาบัส เปาโลแต่งตั้งลาซารัสให้เป็นพระสังฆราชแห่ง Kition ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะไซปรัส และตายตามธรรมชาติคือแก่ตายในปี ค.ศ. 63 คือ 30 ปีหลังฟื้นคืนชีพจากความตาย (ตามบันทึกของนักบุญเอปีฟานีออสแห่งไซปรัส) หลุมศพของท่านอยู่ที่เมือง Larnaca (ชื่อปัจจุบันของเมือง Kition)
ต่อมาจักรพรรดิ์เลโอที่ 6 ได้สั่งให้เคลื่อนย้ายศพของลาซารัสมาไว้ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล และสูญหายไประหว่างสงครามครูเสด
มีเรื่องเล่าต่อว่าพวก Franks (กลุ่มชนชาวเยอร์มานิกโบราณ) ได้นำศพของท่านกลับมาที่เมืองมาร์เซย์ แต่ก็ขัดกับการค้นพบหีบศพโบราณที่เมือง Larnaca เมื่อปี 1972 (46 ปีมาแล้ว) หีบศพนี้มีคำจารึกว่า “ลาซารัสสี่วันและเพื่อนของพระเยซูเจ้า” ซึ่งอย่างน้อยก็ยืนยันว่าพระธาตุส่วนหนึ่งยังคงอยู่ในเกาะไซปรัส
เรื่องเล่าอีกแนวทางหนึ่งเป็นของพระศาสนจักรตะวันตก ซึ่งสอนว่าลาซารัสพร้อมกับมารธาและมารีย์ได้เดินทางมาที่เมืองมาร์เซย์ในฝรั่งเศสเพื่อประกาศข่าวดี และลาซารัสได้เป็นพระสังฆราชองค์แรกของมาร์เซย์ และตามตำนานท่านถูกจับและถูกตัดศีรษะระหว่างการเบียดเบียนของจักรพรรดิ์ดอมีเทียน คาดว่าศพของท่านถูกฝังทางตะวันออกของฝรั่งเศส ส่วนศีรษะยังคงเก็บเป็นพระธาตุไว้ที่เมืองมาร์เซย์
ตำนานเล่าว่าหลังฟื้นจากความตาย ลาซารัสไม่พูดไม่จา และไม่เคยยิ้ม เพราะระหว่างสี่วันที่ท่านอยู่ในแดนผู้ตาย ท่านเห็นดวงวิญญาณที่กำลังดิ้นรนทรมานมากมาย บางคนบอกว่าท่านเคยยิ้มเพียงครั้งเดียวเมื่อเห็นคนคนหนึ่งขโมยเครื่องปั้นดินเผา ท่านพูดว่า “มันก็แค่ดินก้อนหนึ่งขโมยดินอีกก้อนหนึ่ง”
พระศาสนจักรตะวันออกฉลองนักบุญลาซารัสวันเสาร์ก่อนวันอาทิตย์ใบลาน
พระศาสนจักรตะวันตกฉลองวันที่ 17 ธันวาคม