ทำไมคนชอบธรรมหรือคนดีมักจะได้รับความทุกข์ มักถูกทดลอง?
ข้อเท็จจริง
คนเลวไม่เป็นทุกข์หรือ?
ไม่ต้องพูดถึงคนดีหรือไม่ดี ตั้งแต่เกิดมาทุกคนก็เป็นทุกข์แล้ว ต้องจากความอบอุ่นในครรภ์มารดาออกมาเผชิญกับโลกภายนอก
ทุกคนล้วนต้องได้รับความทุกข์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอก็ยังเจ็บป่วยได้ เพียงแต่ว่าโอกาสเจ็บป่วยนั้นลดน้อยลงเท่านั้น
ทำไมคนดีจึงรู้สึกว่าได้รับความทุกข์มากกว่า?
คนดีต้องทนทุกข์มากกว่าก็เพราะเขาเชื่อผิดๆ ว่าโอกาสดีๆ รางวัลดีๆ จะต้องไหลมาเทมา เมื่อไม่ได้ก็เป็นทุกข์ อีกทั้งไม่ได้เตรียมตัวจะรับความทุกข์ด้วย จึงรู้สึกว่าเป็นทุกข์มากกว่า
อีกเหตุผลหนึ่ง คนมี 2 จำพวกคือ คนที่แสวงหาความสุขใส่ตัว กับคนที่แสวงหาความสุขใส่คนอื่น
คนที่แสวงหาความสุขใส่คนอื่น หรือที่เราเรียกว่าคนดี มีแนวโน้มว่าจะต้องทนทุกข์มากกว่าเพราะพวกเขาแบกความรักผิดชอบในอันที่จะทำให้ทุกคนรอบข้างเป็นสุขไว้ด้วย
ความทุกข์เกิดขึ้นเมื่อเขาคาดหวังว่าคนอื่นจะทำเช่นเดียวกับตนเมื่อเขาเดือดร้อน หรือเมื่อเขาตระหนักว่า ขณะที่ช่วยคนอื่นตัวเขาเองกลับกำลังเดือดร้อน
แต่คนดีจริงๆ คือคนที่ปรารถนาดีต่อคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แม้ผู้นั้นจะทำร้ายเราก็ตาม (เหมือนพระเยซูเจ้า)
กายเป็นทุกข์ จิตใจก็เป็นทุกข์ และในทางกลับกัน จิตใจเป็นทุกข์ กายก็เป็นทุกข์
แต่จิตใจนั้นส่งผลมากกว่าร่างกาย ร่างกายนั้นไม่สามารถรับรู้ความทุกข์หรือความสุขได้ “คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก”
สำหรับคริสตชน
เราจะเป็นคนดีเช่นนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เหมือนอวัยวะของเราเป็นหนึ่งเดียวกัน หากนิ้วพลาดจิ้มตา เราก็อภัยให้ทันที เพราะตาของเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับนิ้ว หากเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เราก็เป็นหนึ่งเดียวกับทุกคน และพร้อมจะให้อภัยทุกคน แม้เขาจะทำร้ายเราเหมือนนิ้วจิ้มตาก็ตาม
หากใครอ้างว่าตัวเองเป็นคนดีและคิดว่าตนกำลังทนทุกข์ในขณะที่คนเลวกำลังเป็นสุข เราแน่ใจได้เลยว่าคนคนนั้นไม่ใช่คนดีจริง
ในการดำเนินชีวิตคริสตชน เราไม่มีทางหลีกเลี่ยงความทุกข์ แต่พระวาจาของพระเยซูเจ้าสามารถปกป้องจิตใจของเราและช่วยให้เรายอมรับความทุกข์นั้นได้ เหมือนร่มที่ช่วยป้องกันเราไม่ให้เปียกในวันฝนตก
ความทุกข์แท้จริงนั้นเกิดขึ้นเมื่อเราสูญเสียความดี เราต้องยึดมั่นในบางสิ่ง หาไม่แล้วเราจะสูญเสียทุกสิ่ง และสิ่งที่เราควรยึดมั่นคือพระเยซูเจ้า
พระคัมภีร์สอนอะไร?
พระคัมภีร์พูดถึงความทุกข์ยากไว้มากมาย และก็พูดตรงไปตรงมาว่าคนชั่วนั้นดูเหมือนจะร่ำรวยมั่งคั่ง ตัวอย่างเช่น “12คนชั่วก็เป็นเช่นนี้เขามีความสุขเสมอมุ่งแต่สะสมทรัพย์สมบัติให้มากขึ้น13เป็นการเปล่าประโยชน์หรือที่ข้าพเจ้ารักษาใจให้สะอาดหมดจดและชำระล้างมือข้าพเจ้าเพื่อแสดงความบริสุทธิ์?14เพราะข้าพเจ้าถูกเฆี่ยนตีทุกวันและถูกลงทัณฑ์ทุกยามเช้า” (สดด 73:12-14)
ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?
เหตุผลประการแรก โลกนี้เป็นโลกที่จิตวิญญาณและศีลธรรมเสื่อมลงเพราะหันเหไปจากพระเจ้า แรกเริ่มนั้นพระเจ้าทรงสร้างโลกมาดี แต่เมื่อบิดามารดาคู่แรกของมนุษย์เลือกที่จะดำเนินชีวิตโดยปราศจากพระเจ้า ความเลวร้ายต่างๆ ก็เข้ามาสู่โลก เช่น
- ความอับอาย“ทันใดนั้นตาของทั้งสองคนก็เปิดและเห็นว่าตนเปลือยกายอยู่จึงเอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดร่างไว้” (ปฐก 3:7)
- ความเจ็บปวดเมื่อคลอดบุตร“เราจะเพิ่มความทุกข์ทรมานในการคลอดบุตรแก่ท่านท่านจะคลอดบุตรด้วยความเจ็บปวด” (ปฐก 3:16)
- ความสัมพันธระหว่างชายหญิงแตกหัก“ท่านจะใฝ่หาสามีแต่เขาจะเป็นนายเหนือท่าน”(ปฐก 3:16)
- ความทุกข์ยากในการทำมาหากิน“เพราะท่านได้ฟังเสียงของภรรยาและกินผลจากต้นไม้ที่เราห้ามมิให้กินแผ่นดินจะถูกสาปแช่งเพราะท่านท่านจะต้องหากินจากแผ่นดินด้วยความทุกข์ยากทุกวันตลอดชีวิต18แผ่นดินจะผลิตต้นหนามและกอหนามและท่านจะกินพืชที่งอกในทุ่งนา19ท่านจะมีอาหารกินก็ด้วยหยาดเหงื่อบนใบหน้าจนกว่าท่านจะกลับเป็นดินอีกเพราะท่านถูกปั้นมาจากดินท่านเป็นฝุ่นดินและจะกลับไปเป็นฝุ่นดินอีก” (ปฐก 3:17-19)
- และที่สุด ความตาย “อาดัมมีอายุรวมเก้าร้อยสามสิบปีจึงถึงแก่กรรม” (ปฐก 5:5)
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเฉพาะกับคนดีจริงหรือ?คนชั่วไม่ตายหรือ?
อีกประการหนึ่ง เรากล้าพูดหรือว่าเราเป็นคนดี?
พระคัมภีร์บอกว่า “ทุกคนหลงผิดทุกคนไม่มีประโยชน์เหมือนกันหมดไม่มีสักคนที่ทำความดีไม่มีแม้แต่คนเดียว” (รม 3:12) เราก็เหมือนกับบิดามารดาคู่แรก คือละทิ้งพระเจ้า และก็สมควรที่จะได้รับความทุกข์ยากและเจ็บปวด
อย่างไรก็ตาม พระคัมภีร์ไม่ได้สอนเรื่องกรรม คือไม่ได้สอนว่าคนที่ตกทุกข์ได้ยากเป็นคนชั่ว แต่สอนว่าโลกทั้งโลกละทิ้งพระเจ้า ความวุ่นวายและความทุกข์ยากต่างๆ นานาจึงเข้ามาสู่โลก นี่คือผลของการดำเนินชีวิตถอยห่างจากพระเจ้า
เหตุผลประการที่สองที่คนดีต้องทนทุกข์ก็เพราะบรรดาศัตรูของพระเจ้า ดังเพลงสดุดีที่ว่า“1ข้าแต่พระยาห์เวห์ศัตรูของข้าพเจ้าช่างมากมายผู้ลุกขึ้นต่อต้านข้าพเจ้าช่างมากมายเหลือเกิน2คนมากมายกล่าวถึงข้าพเจ้าว่า‘แม้แต่พระเจ้าก็ไม่ทรงช่วยเขาให้รอดพ้น’”(สดด 3:1-2)
แม้โดยธรรมชาติ เราทุกคนจะละทิ้งพระเจ้า แต่ก็มีบางคนที่ยังวางใจในพระองค์ และคนเหล่านี้แหละที่จะทนทุกข์มากกว่า เพราะปีศาจมันทำให้เราถูกทดลอง ทำให้เราตกอยู่ในความยากลำบาก เพื่อจะล่อลวงเราให้ถอยห่างจากพระเจ้า เป็นศัตรูของพระเจ้านี่แหละที่ทำให้ผู้ที่ติดตามพระเจ้าต้องทนทุกข์และเจ็บปวดมากกว่าคนอื่น
อย่างไรก็ตาม แม้โลกจะยุ่งเหยิงและยังมีศัตรู แต่พระคัมภีร์สอนว่าพระเจ้ายังคงสามารถควบคุมทุกสิ่ง สาเหตุที่พระองค์ทรงยอมให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นก็เพื่อความดีของเราเอง ดังที่นักบุญเปาโลบอกว่า“เรารู้ว่าพระเจ้าทรงบันดาลให้ทุกสิ่งกลับเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รักพระองค์ผู้ที่ทรงเรียกมาตามพระประสงค์ของพระองค์”(รม 8:28) เช่น บางคนพลาดงานนี้แล้วได้งานอื่นที่ดีกว่า บางคนอกหักครั้งนี้แล้วได้คู่ครองที่ดีกว่า เป็นต้น
พระองค์ทดลองเราเพื่อให้เราเข้มแข็งขึ้น ดียิ่งขึ้น !!!
นักบุญเปโตรก็สอนว่าเมื่อเรานำทองคำใส่เข้าไปในไฟ ไฟจะหลอมสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ให้ไหลออกไป คงเหลือไว้แต่ทองคำบริสุทธิ์ฉันใด ความทุกข์ยากก็จะหลอมสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ในตัวเราออกไป คงเหลือไว้แต่ทองคำแห่งความเชื่ออย่างแท้จริง “6ดังนั้นท่านจงชื่นชมแม้ว่าในเวลานี้ท่านยังต้องทนทุกข์จากการถูกทดสอบต่างๆชั่วขณะหนึ่ง7เพื่อคุณค่าที่แท้จริงแห่งความเชื่อของท่านจะได้รับการสรรเสริญรับสิริรุ่งโรจน์และรับเกียรติเมื่อพระเยซูคริสตเจ้าจะทรงแสดงพระองค์ความเชื่อนี้ประเสริฐยิ่งกว่าทองคำที่เสื่อมสลายได้แต่ก็ยังถูกทดสอบด้วยไฟ” (1 ปต 1:6-7)
ที่สำคัญ ไม่ใช่เฉพาะเรามนุษย์เท่านั้นที่ต้องทนทุกข์ แม้แต่พระเจ้าเมื่อเสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ก็ทรงรับทนทุกข์ทรมานเช่นเดียวกัน พระองค์ทรงเกิดมาในคอกเลี้ยงสัตว์ ซ้ำร้ายยังถูกกล่าวหาว่าเกิดมาจากหญิงนอกคอก (ซึ่งน่าอัปยศอดสูที่สุดในสังคมสมัยนั้น) อีกทั้งชีวิตส่วนใหญ่ของพระองค์ก็เป็นคนเร่ร่อน ไม่มีบ้าน
แต่ที่หนักที่สุดคือกางเขน พระองค์ทรงวอนขอพระบิดาอย่าให้ตายบนกางเขนเลย ลูกาเล่าว่า“41แล้วพระองค์เสด็จห่างออกไปจากบรรดาศิษย์ประมาณระยะปาก้อนหินทรงคุกเข่าลงอธิษฐานภาวนาว่า42‘พระบิดาเจ้าข้าถ้าพระองค์มีพระประสงค์โปรดทรงนำถ้วยนี้ไปจากข้าพเจ้าเถิดแต่อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้าให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด’”(ลก 22:41-42)
ลูกายังเล่าต่ออีกว่าพระองค์ทรงเป็นทุกข์หนักถึงกับเหงื่อหยดเป็นโลหิต “พระองค์ทรงอยู่ในความทุกข์กังวลอย่างสาหัสจึงทรงอธิษฐานอย่างมุ่งมั่นยิ่งขึ้นพระเสโทตกลงบนพื้นดินประดุจหยดโลหิต”(ลก 22:44)
พระองค์ทรงยอมทนทุกข์ทุกอย่างก็เพื่อเราจะได้มีความยินดีนิรันดร
บางคนถามว่า “ทำไมพระองค์ไม่ทรงยับยั้งความทุกข์ในโลกนี้”?
หนังสือวิวรณ์ให้คำตอบไว้ว่าพระองค์จะเสด็จมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อหยุดความทุกข์ยากทั้งสิ้น “พระองค์จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากนัยน์ตาของเขาจะไม่มีความตายอีกต่อไปจะไม่มีการคร่ำครวญการร้องไห้และความทุกข์อีกต่อไปเพราะโลกเดิมผ่านพ้นไปแล้ว” (วว 21:4)
แล้วเมื่อใดสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเสียที?
นักบุญเปโตรตอบว่า“องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงรีรอที่จะปฏิบัติตามพระสัญญาดังที่บางคนคิดแต่พระองค์ทรงอดกลั้นต่อท่านทั้งหลายไม่ทรงประสงค์ให้ผู้ใดต้องพินาศแต่ทรงประสงค์ให้ทุกคนกลับใจเปลี่ยนวิถีชีวิต” (2 ปต 3:9) พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้เราตาย จึงทรงรออีกนิดเพื่อเราจะได้กลับใจ
เพราะฉะนั้น หากเราต้องการหลีกหนีความทุกข์ยาก มาอยู่ในสถานที่ใหม่ที่ซึ่งพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดให้เรา เราจำเป็นต้องติดตามพระเยซูเจ้า เราจำเป็นต้องหันกลับจากการเดินตามหนทางของเราเอง แล้วหันมาวางใจว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้าได้ชดเชยความผิดบาปของเรา และได้ช่วยเราให้พ้นจากความทุกข์ยากของโลกนี้แล้ว
คำถามคือ เรายังมีความเช่นนี้อยู่หรือไม่?
พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ถึงความทุกข์ยาก (ชาวกาลิลีถูกปีลาตสั่งประหารชีวิตในขณะที่เขากำลังถวายเครื่องบูชา) ที่เกิดขึ้นว่า “2ท่านคิดว่าชาวกาลิลีเหล่านี้เป็นคนบาปมากกว่าชาวกาลิลีทุกคนหรือจึงต้องถูกฆ่าเช่นนี้3มิได้เราบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิตทุกท่านจะพินาศไปเช่นกัน”(ลก 13:2-3)
ความทุกข์ยากดำรงอยู่ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าความเจ็บปวดนั้นมาจากการละทิ้งพระเจ้า มันควรทำให้เรากลับใจ หันจากหนทางของเรา มาวางใจในการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้า แล้วติดตามพระองค์ตลอดชีวิตของเรา
กล่าวโดยสรุป ความทุกข์ยากเกิดขึ้นเพราะมีบาปในโลกนี้ แต่จะมีสักวันหนึ่งที่พระเจ้า “จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากนัยน์ตาของเขา” (วว 21:4) หากว่าเราวางใจในพระองค์