จำเป็นต้องมีพระคัมภีร์ที่บ้านไหม เพราะมันแพง
จะถูกหรือแพงก็ขึ้นอยู่กับว่าเราเห็นประโยชน์ของพระคัมภีร์มากน้อยเพียงใด
ไม่ว่าจะเป็นมุมมองจากพระคัมภีร์ จากความนึกคิดแบบไทย หรือจากนักจิตวิทยาล้วนชี้ชัดว่าข่าวดีก่อให้เกิดพลังแก่ชีวิต
1. ข่าวดีคือข่าวรักชีวิตเหมือนพระเจ้าคือชีวิตแห่งความรักเพราะ “พระเจ้าทรงเป็นความรัก” (1 ยน 4:8, 16) และบัญญัติเอกของพระองค์คือ “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญา และสุดกำลังของท่าน” (มธ 22:37;ฉธบ6:5)“บัญญัติประการที่สองก็เช่นเดียวกัน คือท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” (มธ 22:39)
• รักพระเจ้าสุดจิตใจและสุดวิญญาณ คือ ให้ความรักของพระองค์มีอำนาจเหนืออารมณ์และความรู้สึกของเรา (ปรารถนาเหมือนพระเจ้า)
• รักพระเจ้าสุดสติปัญญา คือ ให้ความรักของพระองค์นำทางความคิดและทัศนคติของเรา (คิดเหมือนพระเจ้า)
• รักพระเจ้าสุดกำลัง คือ ให้ความรักของพระองค์เป็นพลังขับเคลื่อนการกระทำทั้งปวงของเรา (ดำเนินชีวิตเหมือนพระเจ้า)
ลำพังความรักตามประสามนุษย์ก็มีพลังยิ่งใหญ่เพียงพอที่จะทำให้เราอดทน เสียสละ มุมานะ หรือแม้แต่ยอมตายเพื่อผู้ที่ตนรักได้แล้ว
หากเราน้อมรับข่าวดีด้วยการ “รักเหมือนพระเจ้า” แรงจูงใจและ “พลังชีวิต” ของเราจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีกสักเพียงใด ?!!
2. ข่าวดีดับทุกข์ซึ่งส่งผลใหญ่หลวงต่อโลกภายในจิตใจของเรา
โลกภายในจิตใจของเราเกิดจาก “การแปลผลตีความ”สิ่งที่ประสาทสัมผัสรับรู้จากโลกภายนอกรอบตัวเรา
ประสบการณ์สอนเราว่า โลกภายในอันเป็นผลมาจากการแปลผลตีความนั้น มีอิทธิพลสำคัญต่อตัวเรามากกว่าโลกภายนอก ดังภาษิตไทยที่ว่า “คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก”
หากเราปล่อยให้กระแสสังคม ประสบการณ์ในอดีต ความโลภ โกรธ หลง หรือพยศชั่วต่างๆ มีอิทธิพลต่อการแปลผลตีความ เราก็จะได้ “นรกอยู่ในใจ”ของเรา
ตรงกันข้ามหากเราแปลผลตีความโลกภายนอกตาม “พระประสงค์ของพระเจ้า” นั่นคือคิดและปรารถนาเหมือนพระองค์แล้ว โลกภายในจิตใจของเราก็จะเป็นเหมือนโลกของพระเจ้า เป็นดั่งพระอาณาจักรของพระองค์
ข่าวดี” จึงเป็น “พลังชีวิต” ทั้งในเชิงบวกที่ทำให้เราปรารถนาให้ “สวรรค์อยู่ในอก” และในเชิงลบที่ทำให้เราขับไล่ “นรกออกไปจากใจ”ของเรา !
ข่าวดีคือหนทางดับทุกข์และนำมาซึ่งสันติสุขอย่างแท้จริง !!
3. ข่าวดีดึงดูดของดีรอนดา ไบรน์(RhondaByrne) ผู้เขียนหนังสือจิตวิทยาเรื่อง “The Secret”กล่าวว่า ความลับที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกคนคือ“กฎแห่งการดึงดูด”
ตามกฎแห่งการดึงดูด “สิ่งที่เหมือนกันจะมีแรงดึงดูดเข้าหากัน”
ความคิดของเราก่อให้เกิดคลื่นความถี่ต่างๆ ซึ่งมีแรงดึงดูดเหมือนแม่เหล็ก เมื่อเราคิด คลื่นความคิดจะถูกส่งกระจายออกไปแล้วดึงดูดสิ่งที่อยู่ในแถบคลื่นความถี่เดียวกันกลับมายังแหล่งต้นกำเนิด ซึ่งก็คือตัวเรา
หากคิดดีเราจะรู้สึกได้ทันทีว่ากำลังอยู่ในคลื่นความถี่ดีๆ และกำลังดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามาหาเรามากขึ้น ตรงกันข้าม หากคิดแย่เรากำลังอยู่ในคลื่นความถี่ที่จะดึงดูดสิ่งแย่ๆ เข้ามาสู่ตัวเราเพิ่มมากขึ้น
“ความรัก” คือคลื่นความถี่สูงสุดที่เรามนุษย์สามารถส่งออกไปได้ ยิ่งรักและส่งกระจายความรักออกไปมากเท่าใด เราจะยิ่งดึงดูดคนดีและน่ารักเข้ามาแวดล้อมตัวเราและทำให้เรามี “พลังบารมี” เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
เนื่องจากความคิดของเรามีแรงดึงดูดเหมือนแม่เหล็ก สิ่งที่เราคิดและรู้สึกในเวลานี้จึงส่งผลต่อชีวิตในอนาคตของเรา เพราะสิ่งที่เราคิดถึงมากที่สุดและเพ่งสมาธิจดจ่อมากที่สุดจะถูกดึงดูดเข้ามาและปรากฏเป็นชีวิตจริง
ความคิดจะกลายเป็นความจริงขึ้นมา !
หากเราคิดและปรารถนาเหมือนพระเจ้า เรากำลังดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามาสู่ตัวเราและค่อยๆ ทำให้สิ่งที่เราคิดและปรารถนาเป็นจริงขึ้นมา
นั่นคือ พระอาณาจักรของพระเจ้ากำลังได้รับการสถาปนาขึ้นภายในจิตใจของเรา ซึ่งเท่ากับว่าความสุขและความมั่นคงแท้จริงกำลังปรากฏเป็นจริงในชีวิตของเรา !
แล้วยังจะมี “พลัง” อันใดขับเคลื่อน “ชีวิต” ของเราได้มากไปกว่านี้อีกเล่า ?!