ทำไมพระเยซูจึงบอกว่า ถ้าเรารักพ่อแม่พี่น้องมากกว่าพระองค์ก็ไม่สมควรเป็นศิษย์พระองค์ แล้วเราควรจะปฏิบัติตนอย่างไร
คำตอบข้อนี้ก็มีคำอธิบายอยู่ในข่าวดีของวันอาทิตย์ที่ 23 เทศกาลธรรมดา (ลก 14:25-33)
อาทิตย์ที่ 23 เทศกาลธรรมดา
ข่าวดี ลก 14:25-33
25ประชาชนจำนวนมากกำลังเดินไปกับพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงหันพระพักตร์มาตรัสกับเขาทั้งหลายว่า 26“ถ้าผู้ใดติดตามเราโดยไม่รักเรามากกว่าบิดามารดา ภรรยา บุตร พี่น้องชายหญิง และแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้ 27ผู้ใดไม่แบกกางเขนของตนและติดตามเรา ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้เช่นเดียวกัน
28ท่านที่ต้องการสร้างหอคอย จะไม่คำนวณค่าใช้จ่ายก่อนหรือว่ามีเงินพอสร้างให้เสร็จหรือไม่ 29มิฉะนั้นเมื่อวางรากฐานไปแล้ว แต่สร้างไม่สำเร็จ ทุกคนที่เห็นจะหัวเราะเยาะเขา พูดว่า 30‘คนนี้เริ่มก่อสร้าง แต่ทำให้สำเร็จไม่ได้’ 31หรือกษัตริย์ที่ทรงยกทัพไปทำสงครามกับกษัตริย์อีกองค์หนึ่ง จะไม่ทรงคำนวณก่อนหรือว่า ถ้าใช้กำลังพลหนึ่งหมื่นคน จะเผชิญกับศัตรูที่มีกำลังพลสองหมื่นคนได้หรือไม่ 32ถ้าไม่ได้ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งยังอยู่ห่างไกล พระองค์จะได้ทรงส่งทูตไปเจรจาขอสันติภาพ 33ดังนั้น ทุกท่านที่ไม่ยอมสละทุกสิ่งที่ตนมีอยู่ก็เป็นศิษย์ของเราไม่ได้”
**************************
“ประชาชนจำนวนมากกำลังเดินไปกับพระเยซูเจ้า” โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม (ลก 14:25)
พระองค์ทรงตระหนักดีว่า ไปกรุงเยรูซาเล็มก็คือไปตายบนไม้กางเขน !
แต่ประชาชนที่ติดตามพระองค์ไม่ได้คิดเช่นนั้น พวกเขาคิดว่าพระองค์กำลังเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรวบรวมกำลังพลสำหรับกอบกู้เอกราชจากโรม และทำให้ชนชาติยิวกลับมายิ่งใหญ่เกรียงไกรเหมือนในยุคสมัยของกษัตริย์ดาวิด บรรพบุรุษของพระองค์
พระองค์จึงต้องเปลี่ยนความคิดของพวกเขาด้วยการตรัสว่า “ถ้าผู้ใดติดตามเราโดยไม่รักเรามากกว่าบิดามารดา ภรรยา บุตร พี่น้องชายหญิง และแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้ ผู้ใดไม่แบกกางเขนของตนและติดตามเรา ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้เช่นเดียวกัน” (ลก 14:26-27)
หลายคนอาจบ่นว่าพระวาจานี้ “กระด้าง” จัง ใครจะฟังได้ ?!
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ต้นฉบับภาษากรีกยังใช้คำ miséō (มีแซโอ) ซึ่งแปลว่า “เกลียด” ดังนั้นหากแปลตามต้นฉบับเราจะได้ความว่า “ถ้าผู้ใดติดตามเราโดยไม่เกลียดบิดามารดา ภรรยา บุตร พี่น้องชายหญิง และแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้”
และเพราะมีบางคนตีความตามตัวอักษรเช่นนี้เอง ศาสนาคริสต์จึงตกเป็นจำเลยของสังคมในข้อหาสอนให้เกลียดชังบิดามารดาของตน
อันที่จริงนี่คือเสน่ห์ของภาษาฮีบรู และภาษาทางตะวันออกอื่น ๆ ที่นิยมพูดจาให้ “เห็นจริงเห็นจัง”มากที่สุดเท่าที่สติปัญญาของมนุษย์จะจินตนาการได้
คำ “เกลียด” จึงถูกนำมาใช้เพื่อให้ผู้ฟังเกิดจินตนาการชนิดเห็นจริงเห็นจังว่า “หากผู้ใดไม่พร้อมสละทุกสิ่งที่ตนรัก รวมถึงหนทางสู่อำนาจและความยิ่งใหญ่ทางโลก เพื่อมาร่วมชะตากรรมแบบเดียวกับที่พระเยซูเจ้ากำลังจะได้รับในกรุงเยรูซาเล็ม ผู้นั้นย่อมเป็นศิษย์ของพระองค์ไม่ได้”
คำ “เกลียด” ในที่นี้บ่งบอกถึง “การไม่มีพันธะผูกพัน” เพื่อเราจะเป็นอิสระในการร่วมชะตากรรม “แบกกางเขน”กับพระเยซูเจ้า หาได้มีเจตนายุยงปลุกปั่นให้ผู้หนึ่งผู้ใดเกลียดชังบิดามารดา ภรรยา บุตร หรือพี่น้องชายหญิงของตนแต่ประการใดไม่ !!!
นอกจากจะเป็นวิธีพูดเพื่อให้เห็นจริงเห็นจังแล้ว เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือ พระคัมภีร์ใช้คำ “เกลียด” เพื่อหมายถึง “รักน้อยกว่า” เท่านั้นเอง
ตัวอย่างเห็นได้จากการใช้คำ sanē’ (ซาเน)ในภาษาฮีบรู และ miséō (มีแซโอ) ในภาษากรีก ซึ่งต่างก็แปลว่า “เกลียด” เหมือนกัน
กฎหมายเกี่ยวกับสิทธิของบุตรคนแรกกำหนดไว้ว่า “ถ้าชายผู้หนึ่งมีภรรยาสองคน รักคนหนึ่งมากกว่าอีกคนหนึ่ง และทั้งสองคนคลอดบุตรชายให้เขา แต่บุตรชายคนแรกเป็นบุตรของภรรยาที่เขารักน้อยกว่า (sanē’ - miséō) เมื่อชายนั้นจะแบ่งทรัพย์สมบัติให้บุตร เขาต้องไม่คิดว่าบุตรของภรรยาที่เขารักมีสิทธิเป็นบุตรคนแรกแทนบุตรคนแรกแท้จริงที่เป็นบุตรของภรรยาที่เขารักน้อยกว่า (sanē’ - miséō) แต่เขาต้องรับว่าบุตรของภรรยาที่เขารักน้อยกว่า (sanē’ - miséō) เป็นบุตรคนแรก และต้องแบ่งทรัพย์สินให้บุตรคนแรกนี้เป็นสองเท่าของทรัพย์สินที่ให้แก่บุตรจากภรรยาที่เขารัก เพราะบุตรคนนี้เป็นผลแรกจากความหนุ่มของเขา และมีสิทธิของบุตรคนแรก” (ฉธบ 21:15-17)
หากเราแปล sanē’ (ซาเน)หรือ miséō (มีแซโอ) ตามตัวอักษรคือ “เกลียด” แทนคำว่า “รักน้อยกว่า” ย่อมเท่ากับว่าชาวยิวถูกบังคับให้ยกทรัพย์สมบัติถึงสองเท่าให้แก่ลูกของคนที่ตนเกลียดชัง ซึ่งถือว่าผิดธรรมชาติอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้นเมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “ถ้าผู้ใดติดตามเราโดยไม่รักเรามากกว่าบิดามารดา ภรรยา บุตร พี่น้องชายหญิง และแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้” จึงบ่งบอกวัตถุประสงค์ 2 ประการด้วยกัน กล่าวคือ
1. ให้เรา “รักผู้อื่นน้อยกว่าพระองค์” เพื่อจะเป็นอิสระจากพันธะทั้งปวงและสามารถดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์ได้
2. ให้เรา “รักพระองค์มากกว่าผู้อื่น” ซึ่งหากฟังผ่าน ๆ ดูเหมือนพระองค์จะเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง !
แต่พระองค์ตรัสเช่นนี้ก็เพราะทรงปรารถนาดีและทรงรักเราจริง เพราะความรักตามประสามนุษย์ย่อมมี “ความเห็นแก่ตัว” เจือปนอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า ชายหญิงที่บอกว่ารักกันปานจะกลืนกินนั้น จริง ๆ แล้วต่างฝ่ายต่างก็คิดถึงความสุขและความมั่นคงของตนเองเป็นที่ตั้งด้วยกันทั้งนั้น
ต่อเมื่อเรารักพระเยซูเจ้าเหนืออื่นใด ความรักแบบ agapē(อากาเป) ของพระองค์จะเปลี่ยนความรักที่เจือปนด้วยความเห็นแก่ตัวของเราให้เป็นความรักที่มีแต่ “ให้” และคิดคำนึงถึงความดีและความสุขสูงสุดของผู้อื่นเป็นที่ตั้ง
เมื่อต่างคนต่างคิดถึงผู้อื่นก่อนเช่นนี้ ครอบครัวที่มีพระเยซูเจ้าเป็นศูนย์กลางจึงมีความมั่นคง และดำรงอยู่ในความรักเป็นนิตย์ !
นอกจากทรงปรารถนาให้เรารักพระองค์มากกว่าผู้อื่นแล้ว พระองค์ยังตรัสต่อไปอีกว่า “ผู้ใดไม่แบกกางเขนของตนและติดตามเรา ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้” ซึ่งบ่งบอกว่า
ไม่ใช่ทุกคนที่เดินตามพระองค์จะเป็นศิษย์ของพระองค์!!
ดุจเดียวกับชาวยิวจำนวนมากที่เดินตามพระองค์ไปกรุงเยรูซาเล็มโดยไม่รู้วัตถุประสงค์ของพระองค์ และไม่พร้อมจะแบกกางเขนร่วมกับพระองค์ พวกเขาเป็นได้เพียงผู้ติดตาม แต่หาได้เป็นศิษย์ของพระองค์ไม่
น่าเสียดายที่ปัญหาของชาวยิวเมื่อสองพันปีก่อน ยังคงเป็นปัญหาของเราตราบจนทุกวันนี้ นั่นคือมีผู้รับศีลล้างบาปเข้าเป็นสมาชิกของพระศาสนจักรคาทอลิกมากมายทั่วโลก แต่มีสักกี่คนที่เป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าจริง ๆ ?
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะหันไปดูคนรอบข้างว่าเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า หรือเป็นเพียงผู้ผ่านการรับศีลล้างบาปเท่านั้น เราต้องตรวจสอบตัวเราเองก่อนว่า “ได้มาตรฐานหรือไม่ ?”
มาตรฐานในการเป็น “ศิษย์ของพระเยซูเจ้า” มี 2 ประการคือ “แบกกางเขน” และ “ติดตามพระองค์” (ลก 14:27)
กางเขนเป็นสิ่งที่ชาวยิวซาบซึ้งถึงความร้ายกาจของมันเป็นอย่างดี เมื่อยูดาสชาวกาลิลีก่อการกบฏ แม่ทัพโรมันชื่อวารูสได้ตรึงกางเขนชาวยิวสองพันคนเรียงรายสองข้างทางสู่แคว้นกาลิลี
“กางเขน” คือฝันร้ายและความอัปยศอดสูอย่างยิ่งสำหรับชาวยิว
แต่พระเยซูเจ้าทรงเลือก “กางเขน” ที่ชาวยิวถือว่าร้ายกาจและน่าอัปยศอดสูอย่างยิ่งนี้ เพื่อจะบอกว่าความรักและความปรารถนาของพระองค์ที่จะทำให้เรามนุษย์เป็น “วีรบุรุษ” และได้รับ “พระสิริรุ่งโรจน์” นั้น ยิ่งใหญ่ไพศาลเพียงใด !!!
ไม่มีผู้ใดเป็น “วีรบุรุษ” หากไม่ผ่าน “สงคราม” ฉันใด ก็ไม่มีผู้ใดได้รับ “พระสิริรุ่งโรจน์” หากไม่ผ่าน “กางเขน” ฉันนั้น
สงครามยิ่งรุนแรง ความเป็นวีรบุรุษยิ่งมีความหมายมากขึ้นฉันใด กางเขนยิ่งหนักและยิ่งอัปยศอดสู พระสิริรุ่งโรจน์ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นฉันนั้น !
“กางเขน” คือความทุกข์ยากลำบากต่าง ๆ ซึ่งยิ่งต่อสู้และฟันฝ่าได้มากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้เราแข็งแกร่งและพร้อมรับมือกับความทุกข์ยากแสนสาหัสได้มากและหนักยิ่งขึ้นเท่านั้น จนว่าจะมีสักวันหนึ่งที่เราไม่เกรงกลัวความทุกข์ยากใด ๆ อีกต่อไปแม้แต่ความตายเองก็ตาม
เมื่อไม่กลัวก็มีความมั่นคง และนี่คือ “ความมั่นคง” สูงสุดในชีวิตของผู้เป็น “ศิษย์พระเยซูเจ้า” !!
อีกมาตรฐานหนึ่งคือการ “ติดตามพระองค์” ด้วยการเลิกนึกถึงตนเอง ละทิ้งตนเอง และควบคุม “อัตตา” ของตนเองให้ได้ เพราะหาไม่แล้วเราคงตกเป็น “ทาส” ของตัวเองและหมดหนทางที่จะเป็นอิสระเพื่อติดตามพระองค์
มีบางคนคิดว่าการติดตามพระเยซูเจ้าเป็นเรื่องของผู้ที่มีกระแสเรียกเป็นพระสงฆ์และนักบวชเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วการติดตามพระองค์เป็นเรื่องของเราคริสตชนทุกคน
เพราะการติดตามพระเยซูเจ้าคือการ “คิดเหมือนพระเยซูเจ้า ปรารถนาเหมือนพระเยซูเจ้า และดำเนินชีวิตเหมือนพระเยซูเจ้า” !
ยิ่งดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์มากเท่าใด อัตตาของเราก็จะยิ่งลดน้อยลงและพระองค์จะยิ่งครองราชย์ในตัวเราได้มากขึ้นเท่านั้น
หากพระองค์ทรงครองราชย์ในตัวเราก็เท่ากับว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าได้รับการสถาปนาขึ้นในตัวเราแล้ว เราเป็นสมาชิกของพระอาณาจักรสวรรค์ตั้งแต่ในโลกนี้แล้ว !!!
นอกจากทรงเรียกร้องให้เราเป็น “ศิษย์ของพระองค์” ไม่ใช่แค่ “เดินตามพระองค์” แล้ว พระองค์ยังทรงเตือนเราให้ “คิดอย่างรอบคอบ” ก่อนตัดสินใจเป็นศิษย์ของพระองค์อีกด้วย
พระองค์ตรัสว่า “ท่านที่ต้องการสร้างหอคอย จะไม่คำนวณค่าใช้จ่ายก่อนหรือว่ามีเงินพอสร้างให้เสร็จหรือไม่ มิฉะนั้นเมื่อวางรากฐานไปแล้ว แต่สร้างไม่สำเร็จ ทุกคนที่เห็นจะหัวเราะเยาะเขา พูดว่า ‘คนนี้เริ่มก่อสร้าง แต่ทำให้สำเร็จไม่ได้’” (ลก 14:28-30)
หอคอยที่พระองค์ตรัสถึงคือหอคอยในสวนองุ่น ซึ่งเจ้าของสวนนิยมสร้างไว้สำหรับเฝ้าระวังมิให้ขโมยเข้ามาขโมยผลผลิตได้
ถ้าเริ่มต้นก่อสร้างแล้วทำไม่สำเร็จเพราะเงินหมด นอกจากจะอับอายขายขี้หน้าชาวบ้านแล้ว พวกขโมยคงขำกลิ้งให้เจ้าของสวนต้องชอกช้ำใจยกกำลังสองเป็นแน่
ปัญหาคือพระองค์ทรงยกอุปมาเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม พระองค์ไม่เต็มพระทัยให้เราเป็นศิษย์ของพระองค์กระนั้นหรือ ?
หามิได้ พระองค์ทรงกล่าวเช่นนี้เพราะทรง “จริงใจ” กับเราต่างหาก !
พระองค์ไม่ประสงค์ใช้ “คำหวาน ๆ” หลอกล่อให้เราหลวมตัวมาเป็นศิษย์ของพระองค์ แต่ทรงจริงใจที่จะบอกเราว่า “ยากนะที่จะเป็นศิษย์ของพระองค์ เพราะต้องสละทุกสิ่งที่เรารัก ไม่เว้นแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง ดังนั้น จงคิดให้รอบคอบ”
แต่ “รอบคอบ” ไม่ใช่ “ท้อแท้”…
เราต้องไม่ท้อแท้เพราะพระองค์ตรัสสั่งให้เรา “แบกกางเขนติดตามพระองค์” ไม่ใช่ให้เรา “แบกกางเขนตามลำพัง”
ความหมายของพระองค์ชัดเจนคือ พระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งเราให้แบกกางเขนหรือเผชิญหน้ากับชะตากรรมตามลำพัง แต่จะทรงก้าวไปพร้อมกับเราทุกก้าว
ขอเพียงเรารับคำ “ท้าทาย” และกล้าทุ่มเท “เกหมดหน้าตัก” เท่านั้น... !!!