ฉันคือแม่พระแห่งสายประคำ
แก่นแท้ของพระแม่มารีย์ที่ประจักษ์ที่ฟาติมาปี ๑๙๑๗ มีอยู่ ๓ เรื่องนั่นคือ
๑) การใช้โทษบาป
๒) สายประคำ
๓) ดวงหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์
การสวดสายประคำเป็นจุดศูนย์กลางของการประจักษ์ที่ฟาติมา พระแม่มารีย์ทรงให้คริสตชนยึดมั่นต่อการสวดสายประคำ เพื่อคนบาปจะได้กลับใจ พระแม่มารีย์ทรงสอนให้เด็กทั้งสามสวดเพิ่มเติม หลังจากสวดสายประคำแต่ละทศ “พระเยซูเจ้าข้า โปรดอภัยบาปของชาวเรา โปรดช่วยเราให้พ้นไฟนรก โปรดนำวิญญาณทั้งหลายไปสู่สวรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิญญาณของผู้ที่ต้องการพระเมตตาของพระองค์มากที่สุด”
การสวดสายประคำจึงเป็นเครื่องมือสำหรับภาวนาเพื่อคนบาป และให้ผู้สวดสายประคำมั่นใจในดวงหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์ด้วย
การประจักษ์ของพระแม่มารีย์ที่ฟาติมาวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๑๙๑๗ พระแม่มารีย์ตรัสว่า “อย่ากลัว ฉันไม่ทำร้ายหรอก.....” ลูซีอาได้ยินดังนั้น ก็กล่าวตอบว่า “ท่านมาจากไหนคะ?” “ฉันมาจากสวรรค์” “ท่านต้องการอะไรจากหนูคะ?”
“ฉันมาขอให้หนูมาที่นี่ ๖ ครั้งติดต่อกันเวลาเดียวกัน ในวันที่ ๑๓ ของทุกเดือน และในเดือนตุลาคม ฉันจะบอกว่า ฉันเป็นใคร และต้องการอะไรจากหนู” และการประจักษ์วันที่ ๑๓ ตุลาคม พระแม่มารีย์ ก็ตรัสกับเด็กทั้ง ๓ คน ว่า “ฉันคือแม่พระแห่งสายประคำ”
ดั้งนั้น สายประคำ เป็นจุดศูนย์กลางของการประจักษ์ของพระแม่มารีย์ที่ฟาติมา ทุกครั้งที่ประจักษ์มาแก่ลูซีอา ยาชินทา และฟรังซิสโก พระแม่มารีย์มักจะให้เด็กทั้ง ๓ สวดสายประคำเสมอ ๆ
ประจักษ์ครั้งแรก วันอาทิตย์ที่ ๑๓ พฤษภาคม “จงสวดสายประคำทุกวันเพื่อสันติภาพในโลก” พระแม่มารีย์ทรงตรัสเพิ่มว่าเงื่อนไขการไปสวรรค์ของฟรังซิสโกคือ “สวดสายประคำมาก ๆ เสียก่อน”
ประจักษ์ครั้งที่สอง วันพุธที่ ๑๓ มิถุนายน “ให้หนูสวดลูกประคำทุกวัน และให้หัดอ่านหนังสือ แล้วฉันจะบอกว่าต้องการอะไร”
ประจักษ์ครั้งที่สาม วันศุกร์ที่ ๑๓ กรกฎาคม “ขอให้สวดสายประคำต่อไปทุกวัน เพื่อโลกจะได้เกิดสันติภาพเพราะมีแต่ฉันเท่านั้น ที่จะช่วยเหลือได้” พร้อมกับเสริมว่า “หนูจะได้เห็นนรก ที่อยู่ของวิญญาณคนบาปที่น่าสงสาร พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้มีการถวายความศรัทธาเพื่อดวงหทัยนิรมลของฉัน เพื่อความรอดของคนบาป”
ประจักษ์ครั้งที่สี่ วันอาทิตย์ที่ ๑๙ สิงหาคม พระแม่มารีย์ยืนยันอีกครั้งว่า “ให้สวดสายประคำทุกวัน และพระแม่มารีย์ส่งเสริมให้เด็กทั้ง ๓ สวดภาวนามากๆ และทำพลีกรรมเพื่อคนบาป เพราะมีวิญญาณจำนวนมากต้องตกนรก เนื่องจากไม่มีใครพลีกรรม และสวดภาวนาให้พวกเขา”
ประจักษ์ครั้งที่ห้า วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ กันยายน พระแม่มารีย์กล่าวย้ำ “ให้สวดสายประคำต่อไป เพื่อขอให้สงครามโลกจะได้สิ้นสุดลง” แม่พระบอกพวกเขาว่า “พระเจ้าทรงพอพระทัยการพลีกรรมของพวกหนู”
ประจักษ์ครั้งที่หก วันเสาร์ที่ ๑๓ ตุลาคม “ฉันคือแม่พระแห่งสายประคำ ให้เราสวดสายประคำต่อไปทุกวัน”
ในหนังสือ More About Fatima เขียนโดยคุณพ่อ V. Montes de Oca, C.S.Sp. หน้า ๗๔-๗๕ ได้เขียนเกร็ดประวัติเล็กๆ น้อยๆ ของนักบุญฟรังซิสโก หนึ่งในเด็ก ๓ คนที่เห็นการประจักษ์ที่ฟาติมาว่า หลังจากที่พระแม่มารีย์บอกให้เด็กทั้ง ๓ สวดสายประคำมากๆ ลูซีอา ฟรังซิสโก และยาชินทา ได้สวดสายประคำพร้อมกันบ่อยมากขึ้น หลังจากสวดพร้อมกันเสร็จ ฟรังซิสโกมักจะแยกออกไปเดินเงียบ ๆ แล้วสวดสายประคำส่วนตัวอีกประมาณ ๘-๙ สายต่อวัน
อย่างไรก็ตาม หนังสือคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิกข้อที่ ๒๗๐๘ ได้บรรยายว่า การภาวนา โดยเฉพาะการสวดสายประคำ “เพื่อรู้จักความรักของพระเยซูเจ้า และเพื่อสัมพันธ์กับพระองค์” หมายความว่า การสวดสายประคำจะต้องเป็นการภาวนาที่ทำให้คริสตชนได้พบปะระหว่างผู้สวดกับพระเยซูเจ้า โดยผ่านทางพระแม่มารีย์ ในแต่ละข้อรำพึงในเวลาสวดสายประคำ ข้อรำพึงเหล่านี้คือ บทสรุปธรรมล้ำลึกของพระเยซูเจ้า
ตั้งแต่ ทูตสวรรค์แจ้งข่าวแก่พระนางมารีย์ ; พระนางมารีย์เสด็จเยี่ยมนางเอลีซาเบธ ; พระเยซูเจ้าประสูติ ณ เมืองเบธเลเฮม พระนางมารีย์ถวายพระกุมารในพระวิหาร พระนางมารีย์พบพระเยซูเจ้าในพระวิหาร
พระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้าง ณ แม่น้ำจอร์แดน ; พระเยซูเจ้าทรงเผยพระองค์เองในงานมงคลสมรส ; พระเยซูเจ้าทรงประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้าและทรงเรียกผู้คนให้กลับใจ ; พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระกายอย่างรุ่งโรจน์ ณ ภูเขาทาบอร์ ; พระเยซูเจ้าทรงตั้งศีลมหาสนิท เพื่อเป็นเครื่องหมายของธรรมล้ำลึกปัสกา ;
พระเยซูเจ้าทรงเข้าตรีทูตในสวนเกทเสมนี ; พระเยซูเจ้าทรงถูกเฆี่ยน ; พระเยซูเจ้าทรงถูกสวมมงกุฎหนาม ; พระเยซูเจ้าทรงแบกกางเขน ; พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ;
พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนม์ชีพ ; พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์ ; พระจิตเสด็จมา ; พระนางมารีย์ได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ ; พระนางมารีย์ได้รับมงกุฎในสวรรค์
จะเห็นได้ว่า ผู้ที่สวดสายประคำทุกวัน นอกจากจะภาวนาสำหรับคนบาปให้กลับใจแล้ว ยังได้พบปะกับพระเยซูเจ้าด้วย
การประจักษ์ครั้งสุดท้ายของพระแม่มารีย์ พระแม่มารีย์ตรัสว่า “อย่าทำเคืองพระทัยพระเจ้าอีกเลย เพราะมีผู้กระทำผิดต่อพระองค์มากเกินไปแล้ว” ๑๐๐ ปีผ่านมาแล้ว (๑๙๑๗-๒๐๑๗) พระแม่มารีย์ขอร้องเราทุกคน บรรดาคริสตชนยังจะเมินเฉยถ้อยคำการร้องขอของพระแม่มารีย์อยู่อีกหรือ?
ถึงเวลาแล้วที่คริสตชนหันมาเอาใจใส่คำขอของพระแม่มารีย์ ให้เรามาสวดสายประคำกันมากๆ
คุณพ่อเอนก นามวงษ์