(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
สามีภรรยาคู่หนึ่งมีลูกชายกำลังน่ารักอายุ 4 ขวบอยู่คนหนึ่ง
หนูน้อยคนนี้ซุกซนมาก ในบ้านมีแจกันหยกราคาแพง
อยู่ใบหนึ่ง เช้าวันหนึ่งหนูน้อยได้ปีนขึ้นไปบนโต๊ะ
เอามือล้วงเข้าไป ในแจกันใบนั้น และไม่สามารถดึง
มือออกไปได้ เขาจึงร้องให้คุณพ่อช่วย พ่อกับแม่
ช่วยกันดึงมือหนูน้อยออกแต่ไม่สำเร็จ จึงเอาน้ำสบู่
เข้าช่วยก็ยังไม่ออก ในที่สุดทั้งสองก็คิดว่า
จะต้องทุบแจกันหยกใบนั้นเพื่อรักษามือของลูกชาย
หัวแก้วหัวแหวนไว้ เมื่อทุบแจกันแตกพ่อแม่ก็
พบว่าลูกชายกำมือไว้แน่น
"กำอะไรไว้ล่ะลูก" พ่อถาม
"ผมปล่อยไม่ได้" ลูกชายตอบ
"หนูมีอะไรในมือล่ะ?" แม่ถาม
"สตางค์ครับ" ลูกชายตอบ
พ่อแม่พยายามหลอกล่อจนกระทั่งหนูน้อยแบมือ
ทั้งสองจึงเห็นว่ามีเหรียญสลึงอยู่ เหรียญหนึ่งในมือ
ของลูกชาย และไม่ว่าการที่เขากำเหรียญสลึงไว้นั้น
เป็นเหตุให้ครอบครัว สูญเสียของมีค่าไปมากกว่า
เป็นพัน ๆ เท่า
เราคริสตังค์กำอะไรไว้อันเป็นเหตุให้เราต้องเสียพระพร
อันล้ำค่าที่พระเจ้าประทานให้ ทรัพย์สินเงินทองในโลกนี้
อาจเป็นเหตุทำให้เราขาดพระพรจากพระเจ้าก็เป็นได้
ความจริงทรัพย์สมบัติในตัวของมันเองไม่ใช่สิ่งเลวร้าย
หากแต่ความติดใจในทรัพย์สมบัติจนทำให้เราต้อง
เอาเปรียบผู้อื่น ต้องขาดความซื่อตรงและที่สุดก็หลงลืม
พระเป็นเจ้า และให้ความสำคัญกับเงินตรามากกว่า
นั่นแหละที่เป็นสิ่งที่เลวร้าย
…..เมื่อใดที่เราต้องการเงินมากจนถึงกับต้องเอา
เปรียบผู้อื่น เราจะไม่ได้มิตรแท้ แต่ตรงข้าม
จะเพิ่มศัตรูถาวร…
…..เมื่อใดที่เราต้องการเงินมากจนถึงขั้นขาดความซื่อตรง
เมื่อนั้นเราจะวุ่นวายใจเพราะมโนธรรมติเตียน และเมื่อ
ไม่ซื่อบ่อยครั้ง ที่สุดเราก็จะชินชา มโนธรรมตายด้าน
และคิดว่ากิจการนั้นๆ ไม่ใช่ความผิดอะไร….
…..และเมื่อเงินตราเข้ามาแทนที่พระเจ้า ที่สุดชีวิตของเรา
จะอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว โดดเดี่ยวและสิ้นหวัง แม้เงินทองจะ
เป็นสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับการดำเนินชีวิตก็จริง แต่ก็ไม่ใช่
สิ่งที่บันดาล ความสุขแท้ มิตรภาพกับบุคคลรอบข้าง
ความซื่อตรงต่อตนเองและหน้าที่การงาน และความเชื่อใน
องค์พระเจ้าต่างหากที่ทำให้เรามีความสุขที่แท้จริง ฉะนั้น
ไม่ว่าเราจะมีเงินทอง มากน้อยเท่าไร อย่าให้สิ่งนั้นมาบดบัง
ความรัก ความเข้าใจกันในครอบครัว อย่าให้เงินตราสำคัญ
กว่าเพื่อน และแน่นอนอย่าให้เงินตราสำคัญกว่าพระเจ้า
โดย คุณสุญาโณ จงตระกูลศิริ