(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
อากาศร้อนทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ช่วงกลาง
เดือนเมษายน เป็นความร้อนที่ทำให้คนหลายคนถึงกับ
คุ้มคลั่งได้ ยิ่งคนยุคนี้น้ำอดน้ำทนไม่ค่อยมี พอเจออากาศร้อน
เจอเรื่องขัดใจก็ระเบิดอารมณ์ใส่กัน ทะเลาะวิวาทกันได้ใน
ทุกที่ทุกกรณี แต่ธรรมชาติคงไม่อยากให้ผู้คนกลายเป็นบ้าไป
มากกว่านี้ เมื่อร้อนมาถึงที่สุด ฟ้าฝนก็เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
เมื่อเจอสภาพเช่นนี้ แทนที่จะช่วยให้อารมณ์เย็นลง กลับกลาย
เป็นหงุดหงิดใส่กันอีก ยิ่งฝนตกอย่างหนัก ทำเอาการจราจรเป็น
จลาจล คนก็เลยเครียด มองหน้ากันนิดๆ หน่อยๆ ก็หาเรื่อง
ต่อยตีกัน แล้วเอาอย่างไรกันดีล่ะ คน.....
เมื่อพูดถึงความแปรปรวนของอากาศ กับความปรวนแปรของ
อารมณ์ผู้คน ก็คิดถึงการพูดคุยกับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งวันเวลาทำให้
เรามานั่งปรับทุกข์ปรับสุขกัน เพื่อนคนนั้นถามขึ้นมาระหว่าง
การสนทนาว่า
“เคยคิดว่าชีวิตนี้เดินทางมาถึงขั้นสูงสุดหรือยัง”
ตอบไม่ถูกจึงได้โยนคำถามกลับไปว่าแล้วอะไรคือเกณฑ์ตัดสิน
ขั้นสูงสุดนั้นล่ะ การได้มีบ้าน มีรถ มีคนรัก มีลูก ได้เป็นเจ้านาย
ได้เป็นหัวหน้า ผลงานได้รับรางวัล เพื่อนก็ไม่มีคำตอบได้แต่พูด
ต่ออีกว่า
“เมื่อคนอื่นเห็นว่าเรามีพร้อมทุกสิ่งที่ว่ามา เขาก็คิดว่าชีวิตเรา
มาถึงจุดสูงสุดแล้ว”
....หลายคนอาจจะ “ใช่” แต่ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อย ที่ความสูงสุด
ในชีวิตหาใช่สิ่งเหล่านั้น เพราะถือว่าขั้นสูงสุดของชีวิตหามีไม่
ในมวลสารของชีวิตย่อมมีปะปนกันไป ความสุขวนเวียนมาจาก
ความทุกข์ สักพักก็เริ่มวนเวียนกันใหม่ ชีวิตนี้จึงมักมีจุดเริ่มต้น
ได้เสมอ แม้บางครั้งยังไปไม่ถึงฝั่งฝัน จากประสบการณ์ในครั้งนั้น
กลับมาคิดอยู่หลายครั้งหลายคราและก็ตั้งคำถามให้กับตัวเองว่า
จำเป็นไหมที่ชีวิตเราต้องมีจุดสูงสุด เพราะที่ผ่านมาไม่เคยคิดถึงสิ่ง
เหล่านี้เลย คิดแต่ว่าชีวิตต้องดำเนินต่อไปในแต่ละวันอย่างดี
พยายามทุกครั้ง เวลาที่รู้ตัวว่าต้องทำความดี แม้ว่าไม่ได้เป็นคนดี
ในขณะครุ่นคิดถึงสิ่งเหล่านี้อยู่ก็คิดขึ้นได้ว่าเคย
อ่านบทกวีบทหนึ่งที่ชื่อว่า
“ที่สุดของคน”
โดย คุณสุญาโณ จงตระกูลศิริ