(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับชีวิตของผมเมื่อปี 2549 ตอนนั้นชีวิตของผม
วุ่นวายมาก เหมือนว่าชีวิตนี้ช่างไม่มีอะไรเหลือแล้ว
ผมเครียดมากในช่วงเวลานั้น พาลเกลียดพระไปด้วย
ก็ทำไมหละพระองค์ถึงทิ้งผมให้เป็นอย่างนี้หละ
ไหนพระองค์บอกว่าให้เป็นคนดี ให้รักพระ
ให้ทำในสิ่งที่ดีที่ถูกที่ควร แต่ทำไมผลลัพธ์ถึงเป็นเช่นนี้หละ
ผมเครียดอยู่ได้ประมาณ 7 วัน
จึงตัดสินใจว่า โลกนี้ช่างน่าเบื่อเสียจริง ๆ ไม่อยากอยู่แล้ว
ไม่มีอะไรเหลือแล้วในชีวิต คิดอยากจากโลกนี้ไป แต่ก่อนไป
ขอรำลึกถึงอดีตเก่า ๆ ที่เคยประทับใจบ้างก็ดี
ผมจึงเก็บเสื้อผ้า 2 - 3 ชุด และไปขึ้นรถที่เอกมัย
เมื่อไปถึงประมาณบ่าย 2 โมง
มีรถไปจันทบุรี กำลังจะออก ผมรีบตีตั๋วและขึ้นไปทันที
รถไปถึงจันทบุรีตอนค่ำ เพื่อไปเยี่ยมเพื่อนที่เรียนด้วยกันที่
วิทยาเขตจันทบุรี ม.บูรพา ผมค้างที่จันทบุรี 1 คืน
และได้พบเพื่อนดั่งใจ ทั้ง ๆ ที่ผมไม่เคยไปจันทบุรีเลย
ไม่รู้จักใครด้วย แต่ก็ดุ่ย ๆ จนพบเพื่อนรักจนได้
วันต่อมาผมเดินทางต่อไปยัง ชลบุรี ผมค้างอยู่ที่ชลบุรี 3 คืน
เพื่อพบเพื่อนเก่าๆ และก็แปลก ผมได้พบเพื่อนเกือบทุกคน
ที่ผมอยากพบ และได้ความสัมพันธ์อันดีสมัยอดีตกลับคืนมา
ทำให้ผมอบอุ่นใจขึ้นมาก แต่ก็ยิ่งอยากลาโลกมากขึ้น
เพราะเมื่อเปรียบเทียบตัวเองกับชีวิตของเพื่อน ๆ แล้ว
ทำให้ผมยิ่งท้อใจว่าทำไมชีวิตของผมจึงเป็นเช่นนี้
ดูคนอื่นช่างมีความสุขจัง มีครอบครัวที่อบอุ่น มีทุก ๆ
อย่างที่ผมไม่มี (ไม่เคยได้รับเลยในชีวิต
แม้แต่ความไว้วางใจจากคุณพ่อและคุณแม่ของผม)
วันต่อมาเป็นวันอาทิตย์ เป็นวันที่ผมจำได้ติดตาติดใจมา
จนถึงทุกวันนี้ วันนี้ผมตั้งใจจะลาโลกแล้ว แต่หวนคิดถึง
คุณพ่อของผม เพราะว่าในชีวิตนี้มีท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น
ที่ให้ทั้งความรัก ความเข้าใจ ความเมตตากรุณา
ท่านเป็นผู้ให้เพียงคนเดียวที่ผมรู้จักก็ว่าได้
ผมคิดได้ดังนั้นก็รีบโทรศัพท์ไปหาท่าน
เพื่อขอฟังเสียงท่านเป็นครั้งสุดท้าย
ผมโทรไปหาคุณพ่อของผม
และผมต้องรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
เพราะคุณพ่อท่านไม่ได้ว่าอะไรผมเลยสักนิดที่ผมหนีมา
ท่านกลับถามผมด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า
"เป็นยังไงบ้างลูก อย่าลืมเข้าวัดนะ วันนี้วันอาทิตย์นะ
จะยังไงก็ตาม อย่าทิ้งพระนะลูก"
ผมอิ้งไปทันที เหมือนมีอะไรมาอุดตันตรงคอ พูดอะไรไม่ออก
จึงรีบวางสาย ในสมองมีเสียงคุณพ่อของผมพูดว่า
"อย่าทิ้งพระนะลูก" ก้องกังวาลอยู่
ผมก็งง ๆ ไม่เข้าใจตัวเองสักพัก รู้แต่ว่าร่างกายพาตัวเอง
เดินจากม.บูรพามาถึงวัดบางแสน เมื่อมาถึงวัด
มิสซาเย็นยังไม่เริ่ม อีกประมาณ 1 ชั่วโมง
ผมจึงไปนั่งเล่นอยู่หน้าวัด นั่งเงียบ ๆ เพื่อทำใจให้สงบ
สักพักมีบุคคลคนหนึ่งที่ผมไม่เคยพบหรือรู้จัก มาชวนผมพูดคุย
และบอกผมว่า
"มิสซายังไม่เริ่มนะ รออีกสักพัก
มีแก้บาปก่อนมิสซาครึ่งชั่วโมง ไปแก้บาปนะ"
แล้วเขาก็เดินเข้าไปในวัด ผมก็ไม่ได้คิดอะไรยังนั่งเล่นอยู่
ได้อีกสักพัก จนกระทั่งเสียงระฆังวัดดังขึ้น
ตอนแรกผมตั้งใจจะอยู่นอกวัดไม่อยากเข้าไปร่วมในมิสซา
แต่ไม่รู้มีอะไรดลใจให้ผมขึ้นไปในวัด
ผมเลือกที่นั่งตำแหน่งที่ไกลที่สุด
และลึกลับที่สุด บังเอิญที่นั่งที่ผมเลือกนั้น
อยู่ติดกับที่พระสงฆ์ฟังแก้บาป มันก็แปลกและ
ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมวันนั้นผมจึงเข้าไปแก้บาป
ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากจะแก้บาปเลย วัดก็ไม่ตั้งใจจะเข้าไปฟัง
ผมจำได้ว่าผมแก้บาปไปอย่างนั้น ไม่ได้ตั้งใจ
หรือสำรวมใจเลยก็ว่าได้ บอกบาปไปให้จบ ๆ
แต่ผมต้องแปลกใจเป็นอย่างมากเมื่อกิจใช้โทษบาป
ที่พระสงฆ์ที่นั่งฟังแก้บาปให้ผมทำคือ
"ให้ฟังบทอ่านจากพระวารสารและ
บทเทศน์ในวันนี้ให้ดี ๆ เพื่อเป็นกิจใช้โทษบาป"
ให้ตายสิ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยต้องทำกิจใช้โทษบาปแบบนี้เลย
แต่เอาเถอะไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว
บทอ่านจากพระวารสารวันนั้นเป็นเรื่อง
"ลูกล้างพลาญ"
ที่ขอให้บิดาแบ่งทรัพย์สมบัติ และไปหาความสุขส่วนตัว
ในที่สุดต้องตกระกำลำบาก และกลับมาบ้านเพื่อสารภาพผิด
กับบิดา แต่บิดาไม่ได้รังเกลียดบุตรผู้นี้เลย
กลับให้บ่าวไพร่หาเสื้อผ้าใหม่ และจัดงานฉลอง เพราะว่า
เขามีความรู้สึกว่า บุตรของเขาได้ตายไปและกลับมาใหม่
พระวารสารบทนี้ผมเคยฟังมาตั้งแต่เล็ก หลายรอบแล้ว
เลยไม่รู้สึกอะไรมากมาย แต่พอถึงบทเทศน์ที่พระสงฆ์เทศน์นี่ซิ
มันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อจริง ๆ ผมบอกได้อย่างเดียวว่า
มันเป็นบทเทศน์ที่เหมือนกับว่า พระเป็นเจ้าทรงพูดคุยกับ
ผมผ่านทางพระสงฆ์ คำพูดที่ออกจากพระสงฆ์
ตัวอย่างที่พระสงฆ์ยกขึ้นมา มันเหมือนกับชีวิตของผม
ในขณะนั้นไม่มีผิด ใช่เลย นั่นคือชีวิตของผม
คือผมนี่แหละ บทเทศน์ที่กล่าวถึงน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า
ที่ให้อภัยต่อผู้หลงผิด ช่างกินใจผมเหลือเกิน
ผมนั่งนิ่งฟังบทเทศน์อย่างตั้งใจจนจบ
พอถึงภาคถวาย เมื่อผู้ร่วมมิสซาต่างช่วยกันขับร้องเพลงถวาย
ในตอนนั้นผมรู้สึกว่า เพลงนี้ช่างเป็นเพลงที่ไพเราะและ
กินใจมาก เนื้อเพลงมีว่า
"สายตาลูกเงยสู่ทิวไสล สายใจลูกยกขึ้นหาพระองค์...
บูชาจะเกิดผล เมื่อจิตใจคนร่วมผูกสัมพันธ์
พระองค์โปรดสอนให้รักกัน ให้เรารักมั่น
พระองค์ผู้เดียว"
(ทางใต้จะร้องว่า ให้เรารักมั่น ทางภาคอื่นจะร้องว่า
ให้เรายึดมั่น) เมื่อเพลงมาถึงท่อนนี้ ผมไม่มีอะไรจะกล่าวอีกแล้ว
น้ำตาร่วงไหลเป็นทางอาบหน้าทั้งสองแก้ม
มันเป็นน้ำตาแห่งความปิติยินดีอย่างบอกไม่ถูก
มันเหมือนกับว่าผมได้ตายไปแล้ว
และได้กลับมาอยู่ในอ้อมพระหัตถ์ของพระเป็นเจ้าอีกครั้ง
เหมือนกับว่าพระองค์ได้ให้อภัยบาปแก่ผม
และให้โอกาสผมอีกครั้ง ยิ่งตอนที่พระสงฆ์ยกศีลขึ้น
กล่าวขอบพระคุณ ผมมีความรู้สึกเหมือนมีพระหรรษทาน
อย่างแรงกล้าวิ่งเข้ามาในตัวของผม ผ่านทางศรีษะและ
ไล่ไปตลอดร่าง ขนลุกไปทั้งตัว
บรรยากาศรอบตัวเหมือนสว่างสดใส
น้ำตาผมร่วงหล่นลงพื้นนานเท่าไหร่ไม่รู้
ผมขยับตัวคุกเข่าลงบนพื้นวัด และก้มกราบลงกับพื้น
ผมรำพึงในใจว่า
"บัดนี้ลูกเชื่อแล้วว่ามีพระองค์อยู่จริง
พระองค์ทรงคอยสดับฟังคำวิงวอนของลูกเสมอ
พระองค์ไม่เคยที่จะทอดทิ้งลูกสักนิด
ต่อแต่นี้ไปลูกขอพระเจ้าข้า ลูกขอ
ขอให้ทุกสิ่งจงอย่าได้เป็นไปตามความต้องการของลูก
แต่ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์เถิด
และขอให้ลูกสามารถยอมรับในสิ่งที่พระองค์ประทานให้
และนำสิ่งที่พระองค์ประทานให้
ก่อให้เกิดเป็นทานบุญแก่ลูกและ
เพื่อนร่วมโลกของลูกด้วยเทอญ อาแมน"
ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ ทุกครั้งที่ผมรู้สึกท้อแท้ หรือผิดหวัง
ผมมีอาวุธอย่างเดียวที่ช่วยให้ผมมีกำลังใจ
พร้อมจะต่อสู้ต่อไปบนโลกนี้ คือการสวดสายประคำ
และการสวดภาวนา โดยเฉพาะการสวดภาวนากับ
ครอบครัวก่อนเข้านอนทุกวัน และทุกครั้งที่ในชีวิตของผม
ประสบปัญหา หรือมีการขาดเหลือบางสิ่งบางอย่าง
ดูเหมือนว่า มีบางสิ่งบางอย่าง หรือเหตุการณ์บางอย่าง
จะมาช่วยเติมเต็มให้กับชีวิตและครอบครัวของผม
ให้ผ่านพ้นไปด้วยดีตลอดมา...
โดย คุณสุญาโณ จงตระกูลศิริ