(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
ท่ามกลางการแข่งขันในวันแห่งวัตถุนิยมครองเมืองก็จะเห็นคนเป็นโรคซึมเศร้ากันมากขึ้น
ทำไมเป็นเช่นนั้น? ในสนามชีวิตเราพบเจอ มีปฏิสัมพันธ์กับคนมากหน้าหลายตา
แต่มักไม่ค่อยจะไว้วางใจกันง่ายๆ เกิดความระแวงสงสัย เจือปนไปด้วยความเคลือบแคลง
และแสร้งทำดี ตีหน้าซื่อใส่กัน ฉากหลัง คือ ความพยายามที่จะตะกายเข้าหาดาว
มีความฝันใฝ่สูงด้วยกันทั้งนั้น และเป็นไง พอได้ดังหวัง ได้ดังฝัน กลับต้องไปยืนอยู่บนชัยชนะ
ยืนอยู่บนความสำเร็จเพียงลำพัง ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพื่อนกินเพื่อนเที่ยวยังไร้ร่างไร้เงา
เพื่อนตายก็มลายหายไปสิ้น นี่หรือสิ่งที่เราแสวงหา...
การที่ได้ชัยมาครอง ใช่หรือไม่ อาจจะกลายเป็นการสร้างศัตรูมาเป็นกอง
ในชัยชนะ ย่อมมีคมดาบ คมหอก ของผู้ที่พ่ายแพ้และแค้นเคืองพร้อมที่จะทิ่มแทง
เราปฏิเสธความจริงไม่พ้น วันนี้ที่เรายินดีได้ชัย ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เราต้องพร้อม
ที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ในวันต่อไปด้วย ท่ามกลางเส้นทางสู่ชัยชนะ
ย่อมมีสายตาแห่งความอิจฉาริษยาจับจ้อง อาจจะเป็นสายตาของเราที่กำลังจ้องไปยังผู้ได้ชัย
อาจจะเป็นสายตาของผองเพื่อนพี่น้อง ที่มองมุ่งมายังเราในวันที่เรากำลังก้าวเข้าสู่เส้นขอบแห่งชัย
ในท่ามกลางเสียงยินดีปรีดา น้ำตาของผู้พ่ายย่อมมีเช่นกัน
โลกนี้โหดร้ายเหลือเกินมีบ้างบางคนถึงกลับคร่ำครวญออกมา
ใช่หรือไม่ หลายต่อหลายครั้งในชีวิต เรามีวันที่ชนะ มีวันที่พ่ายแพ้
เพียงแต่ว่าเราหลงลืมตัว ระเริงไปกับความสำเร็จ จนลืมเผื่อใจเพื่อรับความผิดหวัง
หรือตีโพยตีพายในวันพ่ายแพ้ ไม่ลุกขึ้นเดินต่อเพื่อสู่เส้นชัย เนื้อแท้ของชีวิตพิสูจน์กันตรงนี้ต่างหาก
ความสำเร็จทางกายภาพมิอาจจะอยู่ยั้งยืนยง เท่ากับความสำเร็จทางจิตวิญญาณ
การเรียนรู้จากชัยชนะก็อย่างหนึ่ง เรียนรู้จากความพ่ายแพ้ก็อย่างหนึ่ง
แต่ทั้งสองย่อมมีพลังซ่อนเร้นให้ชีวิตเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง
และสามารถที่จะผ่านพ้นไปได้ในทุกสถานการณ์ โดยหาใช่มุ่งหวังเพียงชัยชนะเพียงอย่างเดียว
บนแท่นแห่งชัยชนะย่อมเจือปนไปด้วยความโดดเดี่ยวเพียงลำพังเสมอ
แต่มีบางชัยชนะ ถ้าได้มาแล้วมักนำมาซึ่งความยิ่งใหญ่และไม่โดดเดี่ยว
นั่นคือ ชัยชนะที่ได้มาจากการเสียสละโดยแท้ ชัยชนะที่ได้มาจากการให้อภัย ชัยชนะที่มาจากใจล้วนๆ
ย่อมเป็นชัยชนะเหนือกว่าชัยชนะ และคนที่จะทำเช่นนี้ได้ต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งทางจิตใจ
และไม่หลงไปกับความหอมหวานของความสำเร็จ
วันนี้มีน้อยคนนักที่เป็นเช่นนั้น มีแต่มุ่งหวังชัยชนะส่วนตัว โดยไม่สนใจสาธารณะส่วนรวม
ปากตะโกนกู่ก้องร้องเรียกหาความสำเร็จ เรียกร้องให้คนเข้ามาโห่ร้องแสดงความยินดี
แต่ในใจกลับยินร้ายต่อคนที่คิดต่าง ความวุ่นวายในสังคมส่อเค้าลางรุนแรงและ
เริ่มยากต่อการเยียวยาแก้ไขปัญหา ในโลกที่คนมักคิดเข้าข้างตัวเองว่ามีความเก่งกาจ
มีความสามารถมากล้นเกินคนทั่วไป โลกแห่งเครื่องยนต์กลไก โลกที่มีความฝันสำเร็จรูปขายกันเกลื่อนเมือง
โลกดิจิตัลที่มีความสำเร็จอยู่บนปลายนิ้ว โลกที่หลอกผู้คนให้หลงใหลกับความยิ่งใหญ่ภายในกะลาของตัวเอง
โลกที่กำลังส่งเสริมความเก่งเพียงลำพัง และสร้างมายาภาพว่าทุกคนคือผู้กำชัยบนหน้าจอ
แต่พอก้าวเท้าออกมาพบโลกแห่งความเป็นจริง พบปะผู้คนหน้าต่อหน้า กลับสื่อสาร พูดคุยกันไม่รู้เรื่อง
และมีบ้างบางคนถึงกับรับไม่ได้กับสิ่งที่คนอื่นเป็น ในสิ่งที่คนอื่นมี วิ่งกลับเข้าถ้ำช้ำชอกจนซึมเศร้า
หรือไม่ก็หันหน้าบ้าคลั่งสร้างชัยชนะจอมปลอมกันต่อไป จริงหรือเปล่า คนยุคนี้จำนวนไม่น้อยไม่ยอมรับกับความจริง
ในวันที่อำนาจเข้าครอบงำ พอมองเห็นผู้อื่นกำลังมีอำนาจและบารมีที่เหนือกว่าย่อมเริ่มว้าวุ่นใจ
และคิดหาทางกำจัด ทั้งๆที่ในความจริง บารมีของแต่ละคนบางครั้งไม่ขึ้นอยู่ที่การมีอำนาจ
บารมีอาจจะมาจากความเสียสละ มาจากความซื่อสัตย์ มาจากความเมตตาอาทรในหัวใจของคนผู้นั้น
ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็เป็นเช่นนี้ ในวันที่ความรัก ความเมตตาของพระเยซูเจ้า
ได้ทำให้พระองค์มีบารมีจนไปแย่งยึดความศรัทธาจากใจของมหาชน
จนทำให้กลุ่มคนที่คอยจับผิดคิดกลัวสูญเสียพลังมวลชนสนับสนุน เสียดุลย์ กลัวอำนาจในมือจะหลุดลอย
จึงคิดแผนการที่ชั่วร้าย ปลุกปั่นผู้คนให้หลงเชื่อเรื่องราวอันเป็นเท็จ
จากความชื่นชมยินดีเป็นเสียงตะโกนให้ร้ายกล่าวโทษ ในวันนั้นพระองค์ล่วงรู้ถึงสิ่งที่จะตามมา
พระองค์หาได้ยินดีกับการต้อนรับประดุจผู้กำชัยในศึกสงครามกลางประตูเมือง
พระองค์รู้ว่านี่เป็นเพียงชัยชนะอันโดดเดี่ยว เป็นชัยชนะที่ทุกคนย่อมต้องพบเจอ
เป็นชัยชนะเพียงเพื่อผ่านวัน ผลัดใบสู่ชัยที่ยิ่งใหญ่กว่า โดยผ่านทางกองทุกข์กองใหญ่ข้างหน้า
แล้วพระองค์ก็ทำสำเร็จ และเราหล่ะ มัวแต่ยืนชื่นชมกับความสำเร็จบนยอดเขาสูงเพียงลำพังอย่างนั้นหรือ....
โดย คุณสุญาโณ จงตระกูลศิริ