(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
ลูกคนหนึ่งทำงานอยู่ต่างประเทศไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมพ่อแม่
แต่ติดต่อกันทางจดหมายโชคดีต่อมามีไอพีการ์ด เลยได้คุยสดกันบ้างทุกครั้ง
แม่ก็จะคอยเตือนให้ระวังสุขภาพของตัวเอง ตั้งใจทำงาน ไม่ต้องเป็นห่วงแม่
ไม่ต้องกลับมา เยี่ยมบ่อยๆเพราะจะสิ้นเปลืองเงินทอง...
ยิ่งพูดก็ยิ่งซ้ำๆซากๆ เขารู้ดีว่าแม่เริ่มคิดถึงเขามาก
จนกระทั่งปีนี้ แม่อายุ 75 เขาจึงตั้งใจจะกลับไปเยี่ยม แม่ โดยตั้งใจว่าจะอยู่สัก 1 เดือน
จะไม่ทำอะไรเป็นพิเศษ แต่ขอเป็นเพื่อนแม่เพียงอย่างเดียว พอบอกข่าวนี้ให้แม่ทราบ
แม้จะมีเวลาอีกตั้ง 2 เดือนเศษ แม่ก็เริ่มเตรียมตัวในการต้อนรับการกลับมาเยี่ยมบ้านของลูก
แม่ดึงเอาสมุดบันทึกมาจดสิ่งที่ต้องตระเตรียม แม่เตรียมรายการอาหารที่ลูกชอบ
ดึงเอาผ้าห่มที่ลูกเคยชอบห่มมาปะชุนใหม่... สำหรับคนอายุ 75 เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
พอกลับถึงบ้าน ตอนอยู่บนเครื่องบิน เคยตั้งใจว่าจะขอกอดแม่ ให้ชื่น ใจสักครั้ง แต่พอมาเห็นแม่
แม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผอม แห้ง หน้าตาเหี่ยวย่น ช่างไม่เหมือนแม่คนก่อนหน้านี้เลย...
แม่ใช้เวลาทั้งชั่วโมงเตรียมอาหารที่ลูกเคยชอบ โดยที่หาทราบไม่ว่า
เดี๋ยวนี้ลูกไม่ได้ชอบอาหารแบบนั้นแล้วและเพราะแม่ตาไม่ค่อยดีรสชาติอาหารจึงแย่มากๆ
บางจานก็เค็มจัด บางจานก็จืดสนิท ผ้าห่มที่แม่อุตส่าห์เตรียมให้ทั้งหนาทั้งหยาบ ไม่สบายกายเลย
แม่หารู้ไม่ว่า เดี๋ยวนี้ลูกนอนห้องแอร์และใช้ผ้าห่มขนแกะแล้ว แต่เขาก็ไม่บ่นอะไร
เพราะเขาตั้งใจจะกลับมาเป็นเพื่อนแม่จริงๆสองสามวันแรก แม่ยุ่งอยู่กับเรื่องจิปาถะ
จนไม่มีเวลาพักผ่อน พอเริ่มได้พัก แม่ก็เริ่มพูดมาก สอนโน่นสอนนี่ พูด แต่ปรัชญาเก่าๆ
ซึ่งปรัชญาเหล่านั้น 10 กว่าปีก่อนก็เคยพูดแล้ว พอลูกบอกให้ฟังว่า ปรัชญาเหล่านั้นไม่ทันสมัยแล้ว
แม่ก็เริ่มนิ่งเงียบและเศร้าซึม
“เหตุการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ผมพบว่าสุขภาพแม่แย่ลงโดยเฉพาะสายตา อาหารบางจานมีแมลงวันด้วย
บางทีอาหารหกบนเตา แม่ก็เก็บใส่จานตามเดิม ครั้นผมพยายามชวนแม่ไปกินนอกบ้าน
แม่ก็บอกอาหารข้างนอกไม่สะอาด ของแปลกปลอมเยอะ เมื่อผมบอกแม่ว่าจะหาคนรับใช้มาช่วยแม่สักคน
แม่ก็โวยวายว่า แม่เองยังสามารถทำงานเลี้ยงดูเด็กให้ผู้อื่นได้เลย ผมเลยพูดไม่ออก พอผมจะออกไปช้อปปิ้ง
แม่ก็จะตามไปด้วย ทำเอาวันนั้นทั้งวัน พวกเราไม่ได้ไปช้อปปิ้งเลย...”
“พอพวกเราเริ่มคุยกันในเรื่องทันสมัย แม่ก็จะหาว่าพวกเราเพี้ยน ผมก็เริ่มบอกแม่อย่างไม่ค่อยเกรงใจว่า
แม่ นี่มันสมัยใหม่แล้ว แม่ต้องหัดมองโลกในแง่ใหม่ๆบ้าง... ช่วงครึ่งเดือนหลังที่อยู่กับแม่
ผมเริ่มขัดแม่มากขึ้นเรื่อยๆ และรู้สึกรำคาญเพิ่มมากขึ้น แต่เราไม่เคยทะเลาะกันนะ พอผมขัดแม่ แม่ก็หยุดกึกลง
ไม่พูดไม่จา ในตามีแววเหม่อลอย – โลกซึมเศร้าแบบคนแก่ของแม่ชักหนักขึ้นเรื่อยๆ”
“ได้เวลาที่ผมจะต้องเดินทางกลับ แม่ดึงกล่องกระดาษกล่องหนึ่งออกมา ในนั้นเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ที่แม่ตัดเก็บไว้
ในช่วงที่ผมไปอยู่เมืองนอก แม่เริ่มสนใจข่าวต่างประเทศ เมื่อผมเดินทางไปนอก
ทุกครั้งที่มีข่าวตึงเครียดในประเทศนั้นๆ แม่จะตัดข่าวเก็บไว้ ตั้งใจจะมอบให้ผมตอนที่ผมกลับมา
แม่พูดอยู่เสมอว่า อยู่นอกบ้านนอกเมือง ต้องระวังตัวให้มากๆ ครั้งหนึ่งมีเรื่องคนญี่ปุ่นต่อต้านและข่มเหงคนจีน
มีการปะทะกันด้วย แม่เป็นห่วงมากถามเพื่อนบ้านว่าจะส่งข่าว ไปเตือนผมที่ญี่ปุ่นได้อย่างไร
ตอนนั้นผมสอนอยู่ที่ญี่ปุ่น”
แม่ดึงเอาปึกกระดาษข่าวนั้นออกมาอย่างยากลำบาก วางใส่ในมือผมเหมือนของวิเศษชิ้นหนึ่ง มันหนักมาก
ผมเริ่มรู้สึกลำบากใจ เพราะผมไม่อยากนำกลับไป มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ผมรู้ว่าแม่เก็บมันด้วยความยากลำบาก
แม่สายตาไม่ค่อยดี ต้อง ใช้แว่นขยาย อ่านได้วันละ 2 หน้าก็เก่งแล้ว นี่ยังตัดเก็บได้ขนาดนี้
ทันใดนั้นมีข่าวแผ่นหนึ่งปลิวหลุดลงมา แม่รีบเอื้อมไปหยิบ แต่แทนที่แม่จะเก็บเข้ากองเดิม
แม่กลับพับเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเอง ผมรู้สึกเอะใจ เลยถามว่า
“แม่ นั่นกระดาษอะไร ขอผมดูหน่อยนะ”
แม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงล้วงออกมาวางบนข่าวปึกนั้น แล้วหุนหันเข้าครัวไปทำกับข้าวทันที
ผมหยิบแผ่นข่าวนั้นขึ้นมาดู มันเป็นบทความบทหนึ่ง ชื่อว่า “เมื่อฉันแก่ตัวลง”
ตัดจากหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2000 เป็นช่วงที่ผมเริ่มเถียงกับแม่ถี่มากขึ้นทุกที
บทความนั้นคัดมาจากนิตยสารฉบับหนึ่งของเม็กซิโก ฉบับเดือนธันวาคม
ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบทันที ....
เมื่อฉันแก่ตัวลงไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น ขอโปรดเข้าใจฉัน มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกสักนิด
ตอนฉันทำแกงหกใส่เสื้อตัว เอง ตอนฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า
ขอให้คิดถึงตอนแรกๆที่ฉันใช้มือสอนเธอทำทุกอย่าง ตอนฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆที่เธอรู้สึกเบื่อ
ขอให้อดทนสักนิด อย่าเพิ่งขัดฉัน ตอนเธอยังเล็กๆ ฉันยัง เคยเล่านิทานซ้ำๆซากๆ จนเธอหลับเลย
ตอนฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้ อย่าตำหนิฉันเลยนะ ยังจำตอนที่เธอยังเล็กๆ
ฉันต้องทั้งออดทั้งปลอบเพื่อให้เธอยอมอาบน้ำได้ไหม
ตอนฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆ อย่าหัวเราะเยาะฉัน จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทนตอบคำถาม “ทำไม ทำไม”
ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหม ตอนฉันเหนื่อยล้าจนเดินต่อไม่ไหว
ขอจงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉัน
เหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดินในตอนที่เธอยังเล็กๆ
หากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่ ให้เวลาฉันคิดสักนิด ที่จริงสำหรับฉันแล้ว
กำลังพูดเรื่องอะไรไม่สำคัญหรอก ขอ เพียงมีเธออยู่ฟังฉัน ฉันก็พอใจแล้ว
ตอนเธอเห็นฉันแก่ตัวลง ไม่ต้องเสียใจ ขอให้เข้าใจฉัน สนับสนุนฉัน
ให้เหมือนตอนที่ฉันสนับสนุนเธอตอนเธอเพิ่งเรียนรู้ ใหม่ๆ
ตอนนั้นฉันนำพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิต ตอนนี้ขอให้เธอเป็น เพื่อนฉันเดินไปให้สุดเส้นทาง
ให้ความรักและอดทนต่อฉัน ฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจ
ในรอยยิ้มของฉันมีแต่ความรักอันหาที่สิ้นสุดมิได้ของฉันที่มีให้กับเธอ
ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบ เกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ตอนนั้น แม่เดินออกมา
ผมแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอน แรกแม่คงอยากให้ผมได้อ่านบทความนี้หลังจากผมกลับไปแล้ว
จึงคะยั้นคะยอให้ผมนำข่าวปึกนั้นกลับไป ตอนผมจัดกระเป๋าเดินทาง
ผมต้องสละไม่เอาสูทกลับไป 1 ตัว จึงยัดเก็บปึกข่าวเหล่านั้นเข้า ไปได้ รู้สึกแม่จะดีใจมาก
เหมือนกับว่าหนังสือพิมพ์เหล่านั้นเป็นยันต์โชคลาภสำหรับผม
และเหมือนกับว่าการที่ผมยอมรับหนังสือพิมพ์เหล่านั้น
ผมได้กลับมาเป็นเด็กดีของแม่อีกครั้งหนึ่ง แม่ตามมาส่งผมจนถึงรถแท็กซี่เลยทีเดียว
หนังสือพิมพ์ที่ผมนำกลับมาเหล่านั้น ไม่ได้ใช้ทำประโยชน์อะไรเลย แต่บทความ
“เมื่อฉันแก่ตัวลง” บทนั้น ผมได้ตัดเก็บไว้ ในกรอบ เอาไว้ข้างตัวฉันตลอดไป...
โดย คุณสุญาโณ จงตระกูลศิริ