(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
ในเมืองอันอุดมสมบูรณ์เมืองหนึ่ง ยังมีชายพเนจรคนหนึ่งเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัย
เขาไม่มีที่ดินทำกิน วัน ๆ ได้แต่เดินเร่ร่อนไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
เพื่อรับจ้างคนในเมืองแลกกับข้าวปลาอาหาร
ทุก ๆ วันเขาได้แต่นั่งอ้อนวอนเทวดา เพื่อขอที่ดินสักผืนไว้เป็นที่ทำกิน
แต่เขาก็ยังไม่ได้สมความปรารถนา จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้ข่าวว่า
เจ้าเมืองจะออกเยี่ยมเยียนชาวบ้าน ชายหนุ่มดีใจมาก
จึงไปรอพบเจ้าเมืองพร้อมกับพวกชาวบ้าน
ขณะที่เจ้าเมืองกำลังเดินทักทายชาวบ้านอยู่นั้น
ได้มีงูตัวหนึ่งเลื้อยเข้าไปหาเจ้าเมืองอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงรีบพุ่งตัวออกไปจับงูร้ายก่อนที่มันจะฉกกัดท่าน
เมื่อเจ้าเมืองรอดตายจากงูร้าย จึงบอกกับชายหนุ่มว่า
“ขอขอบใจเจ้าที่ช่วยชีวิตข้าไว้ เจ้าต้องการอะไร ข้าก็จะให้”
ชายหนุ่มรู้สึกดีใจมากจึงบอกกับเจ้าเมืองว่า
“ข้าต้องการที่ดินสักผืนหนึ่งไว้ปลูกบ้าน ปลูกผัก ปลูกข้าวทำมาหากิน”
เจ้าเมืองได้ฟังดังนั้น จึงเอ่ยขึ้นว่า
“ตกลง ข้าจะให้ที่ดินแก่เจ้าผืนหนึ่ง เอาเป็นว่าตั้งแต่ชานเมืองนี้ไป
เจ้าเดินไปถึงแค่ไหน แค่นั้นก็เป็นที่ดินของเจ้าก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มรับคำด้วยความดีใจ เขากราบลาท่านเจ้าเมือง
แล้วรีบเดินออกไปยังชานเมืองทันที
เขาเริ่มต้นเดิน ๆ ๆ ๆ ๆไปเรื่อย ๆ
ระหว่างทางเขาก็ครุ่นคิดถึงคำของท่านเจ้าเมืองไปตลอด
“ถ้าหากเราเดินไปเรื่อย ๆ เราก็จะได้ที่ดินมากเท่าที่เราต้องการ”
ดังนั้น แม้ว่าอากาศในตอนบ่ายจะร้อนอบอ้าว
ทำให้เขารู้สึกหิวโหยและกระหายน้ำมากเพียงใด ชายหนุ่มก็ไม่ยอมหยุดพัก
เขายังคงก้มหน้าก้มตาเดินต่อไปจนกระทั่งมืดค่ำ
เขาเริ่มรู้สึกหิวและอ่อนล้ามากขึ้น ขาทั้งสองก้าวได้ช้าลง
แต่เขาก็ไม่ยอมหยุดเดิน เพราะคิดอยู่ตลอดว่า ยิ่งเดินได้ไกลเท่าไหร่
ก็ยิ่งได้ที่ดินมากขึ้นเท่านั้น เขาจึงกัดฟันเดินฝ่าความมืดต่อไปเรื่อย ๆ
จนถึงรุ่งเช้า ในที่สุดเขาก็ล้มลง และไม่นานก็ขาดใจตาย
ชายหนุ่มไม่ได้ที่ดินดังหวัง แม้กระทั่งที่ดินที่จะฝังศพตัวเอง
ก็เพราะความไม่รู้จักพอเป็นเหตุนั่นเอง ...
คนที่ไม่รู้จักพอย่อมก่อความเดือดร้อนให้กับตนเองได้ในภายหลัง
เพราะความไม่รู้จักพอ ทำให้ไม่รู้จักประมาณในการกินการอยู่
และความโลภที่แม้เกิดขึ้นในใจเพียงเล็กน้อย
ก็จะปิดบังปัญญาในการยั้งคิดไตร่ตรองเรื่องราวต่าง ๆ
ให้เป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม ...
โดย คุณสุญาโณ จงตระกูลศิริ