Homeบทความบทความทั่วไปสรุปย่อสมณสาส์นเวียนของพระสันตะปาปาฟรังซิส “พระองค์ทรงรักเรา” (DILEXIT NOS)

สรุปย่อสมณสาส์นเวียนของพระสันตะปาปาฟรังซิส “พระองค์ทรงรักเรา” (DILEXIT NOS)

สรุปย่อสมณสาส์นเวียนของพระสันตะปาปาฟรังซิส

“พระองค์ทรงรักเรา” (DILEXIT NOS)[1]

เกี่ยวกับความรักของมนุษย์และของพระเจ้าแห่งพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า

เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2024 ในปีที่ 12 แห่งพระสมณสมัยของพระองค์[2]

โดย บาร์ทิเมอัส

บทที่ 1 ความสำคัญของหัวใจ

            หัวใจ เป็นสัญลักษณ์หมายถึงความรักของพระเยซูเจ้า ซึ่งเราต้องแสวงหาความหมายของหัวใจนี้อีกครั้งหนึ่งในยุคสมัยของเรา

เราหมายถึงอะไรด้วยคำว่า “หัวใจ”

            ในภาษากรีกคลาสสิก คำว่า kardía หมายถึงส่วนลึกที่สุดของมนุษย์ สัตว์ และพืช สำหรับโฮเมอร์ (Homer)[3] คำว่า kardía ไม่ได้หมายถึงแค่ศูนย์กลางของร่างกายเท่านั้น แต่ยังหมายถึงจิตวิญญาณของมนุษย์ด้วย ในอีเลียด (Iliad)[4] ความคิดและความรู้สึกดำเนินไปจากหัวใจและเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด หัวใจปรากฏเป็นจุดแห่งความปรารถนาและเป็นสถานที่ที่การตัดสินใจที่สำคัญเกิดขึ้น ในเพลโต (Plato) หัวใจทำหน้าที่เสมือนเป็นเครื่องเชื่อมโยงด้านเหตุผลและสัญชาตญาณของบุคคล เนื่องจากแรงกระตุ้นจากทั้งความสามารถขั้นสูงและความรู้สึกต่าง ๆ เชื่อว่าส่งผ่านเส้นเลือดที่ไปบรรจบกันในหัวใจ ตั้งแต่สมัยโบราณเป็นต้นมา มนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงผลรวมของทักษะที่แตกต่างกัน แต่เป็นหนึ่งเดียวของร่างกายและจิตวิญญาณที่มีศูนย์กลางที่ประสานกันซึ่งให้ฉากหลังของความหมายและทิศทางแก่ทุกสิ่งที่บุคคลประสบพบเจอ

            พระคัมภีร์บอกกับเราว่า “พระวาจาของพระเจ้าเป็นพระวาจาที่มีชีวิตและบังเกิดผล คมยิ่งกว่าดาบสองคมใด ๆ แทงทะลุเข้าไปถึงจุดที่วิญญาณและจิตใจแยกจากกัน ถึงเส้นเอ็นและไขกระดูก วินิจฉัยความรู้สึกนึกคิดคิดภายในใจได้” (ฮีบรู 4:12) ด้วยวิธีนี้ พระวาจาจึงตรัสกับเราว่าหัวใจเป็นแกนที่ซ่อนอยู่ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกทั้งหมด แม้กระทั่งภายใต้ความคิดผิวเผินที่อาจนำเราหลงทางได้

            หัวใจยังเป็นแหล่งของความจริงใจ ซึ่งการหลอกลวงและการปลอมตัวไม่มีที่ยืน โดยปกติแล้วหัวใจบ่งบอกถึงเจตนาที่แท้จริงของเรา สิ่งที่เราคิด เชื่อ และปรารถนาจริง ๆ หรือ “ความลับ” ที่เราไม่บอกใคร กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือความจริงอันเปลือยเปล่าเกี่ยวกับตัวเราเอง หัวใจเป็นส่วนหนึ่งของเราที่ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอกหรือภาพลวงตา แต่เป็นของแท้จริง และ “เป็นตัวเรา”

            สังคมยุคปัจจุบัน บริโภคนิยม เทคโนโลยี ทำให้เราสับสนวุ่นวาย จนแทบไม่เหลือพื้นที่ว่างให้กับหัวใจ หากเราลดคุณค่าของหัวใจ เราก็ลดคุณค่าของความหมายของการพูดจากหัวใจ การกระทำด้วยหัวใจ การปลูกฝังและรักษาหัวใจด้วย หากเราไม่สามารถชื่นชมความเฉพาะเจาะจงของหัวใจ เราจะพลาดข้อความที่จิตใจไม่สามารถสื่อสารได้ เราจะพลาดความอุดมสมบูรณ์ของการพบปะกับผู้อื่น เราจะพลาดบทกวี นอกจากนี้ เรายังหลงลืมประวัติศาสตร์และอดีตของเราเอง เนื่องจากประวัติส่วนตัวที่แท้จริงของเราสร้างขึ้นด้วยหัวใจ เมื่อชีวิตของเราสิ้นสุดลง สิ่งนั้นเท่านั้นที่จะมีความสำคัญ

 

หัวใจรวมชิ้นส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน

            หัวใจทำให้เกิดการผูกพันของความสัมพันธ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน สังคมที่ถูกครอบงำด้วยความหลงตัวเองและการเอาแต่ใจตัวเองจะกลายเป็น “คนไร้หัวใจ” มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะนำไปสู่ ​​“การสูญเสียความปรารถนา” เนื่องจากเมื่อบุคคลอื่น ๆ หายไปจากขอบฟ้า เราพบว่าตัวเองติดอยู่ในกำแพงที่เราสร้างขึ้นเอง (ไม่มีความสัมพันธ์กับคนอื่น) ไม่สามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีได้อีกต่อไป เป็นผลให้เราไม่สามารถเปิดใจให้กับพระเจ้าได้

            การรู้จักตนเองเกี่ยวข้องกับการยอมรับผู้อื่นนำไปสู่เอกลักษณ์ของแต่ละคน หัวใจยังสามารถรวมและประสานประวัติศาสตร์ส่วนตัวของเราได้ ซึ่งอาจดูเหมือนแตกเป็นเสี่ยง ๆ อย่างสิ้นหวัง แต่เป็นสถานที่ที่ทุกสิ่งสามารถสมเหตุสมผลได้ ดังพระแม่มารีย์ที่มีประสบการณ์กับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต จากนั้นพระนางนำมาไตร่ตรอง เชื่อมโยงความรู้สึก (หัวใจ) จากประสบการณ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ทั้งสิ่งที่เข้าและและไม่เข้าใจ และสุดท้ายเก็บไว้ในหัวใจของพระนาง (ดู ลก 2:19, 51) ซึ่งปัญญาประดิษฐ์ไม่สามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ได้ ด้วยเหตุนี้ เมื่อเราเห็นสงคราม การสมรู้ร่วมคิด ความเฉยเมยของประเทศต่าง ๆ การแย่งชิง ผลประโยชน์ของพรรคการเมือง เราอาจสรุปเอาเองว่าโลกของเรากำลังสูญเสียหัวใจ

            เมื่อใดก็ตามที่เราคิด ตั้งคำถาม และไตร่ตรองถึงตัวตนที่แท้จริงของตนเอง พยายามทำความเข้าใจคำถามที่ลึกซึ้งกว่าในชีวิต และแสวงหาพระเจ้า คำถามที่สำคัญที่สุดที่เราสามารถถามได้ก็คือ “ฉันมีหัวใจหรือไม่” การไตร่ตรองนี้นำไปสู่การ “จัดระเบียบชีวิต” ของเราใหม่ โดยเริ่มต้นจากหัวใจไม่ใช่เพียงแค่จากสติปัญญาเท่านั้น เช่นเดียวกับที่พระเยซูเจ้าทรงตรัสกับเราจากพระหฤทัยของพระองค์

 

โลกสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยเริ่มจากใจ

            ชุมชนของเราจะประสบความสำเร็จในการรวมและปรองดองความคิดและความตั้งใจที่แตกต่างกันได้ก็ต่อเมื่อเริ่มต้นจากใจเท่านั้น เพื่อที่พระจิตเจ้าจะทรงนำเราในความเป็นหนึ่งเดียวกันในฐานะพี่น้อง ความปรองดองและสันติสุขก็เกิดจากใจเช่นกัน ดังนั้น การเอาใจใส่หัวใจอย่างจริงจังจึงมีผลต่อสังคมโดยรวม สังคายนาวาติกันที่ 2 สอนเราว่า “เราทุกคนต้องเปลี่ยนความคิด เราต้องมองไปที่โลกทั้งใบ และมองไปที่ภารกิจที่เราทุกคนสามารถทำได้ร่วมกัน เพื่อสร้างโลกของเราให้ดีขึ้น เพราะความไม่สมดุลของโลกยุคปัจจุบัน เกิดมาจากความไม่สมดุลของหัวใจมนุษย์ เราจึงต้องกลับมาที่หัวใจของพระคริสต์ ซึ่งเป็นเตาเผาความรักของพระเจ้าและของมนุษย์ที่ร้อนแรง และเป็นความสมหวังสูงสุดที่มนุษย์ปรารถนาได้ ในหัวใจนั้น ในที่สุด เราก็ได้รู้จักตัวเองและเรียนรู้ที่จะรักอย่างแท้จริง

            พระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้านั้นแสดงให้เราได้เห็นความเป็นจริงทั้งหมด เนื่องจาก “พระคริสต์ทรงเป็นหัวใจของโลก เป็นพระธรรมล้ำลึกของปัสกา เป็นศูนย์กลางของประวัติศาสตร์ แห่งความรอด  สิ่งมีชีวิตทั้งหมด “กำลังก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับพระองค์และผ่านพระองค์ไปสู่จุดสิ้นสุดร่วมกันก็คือพระเจ้า” แม้ว่าจะมีสงคราม ความเหลื่อมล้ำทางสังคม เศรษฐกิจ และการใช้เทคโนโลยีที่คุกคามมนุษยชาติของเรา อาจได้รับสิ่งที่สำคัญที่สุดและจำเป็นที่สุดกลับคืนมา นั่นก็คือหัวใจ

 

บทที่ 2 การกระทำและคำพูดแห่งความรัก

            พระเยซูเจ้าไม่เพียงแต่บอกเราว่ารักเท่านั้น แต่ยังแสดงออกมาให้กับเราได้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม รักทุกคน คนยากจน เด็กและสตรี ผู้ต่ำต้อย ผู้ป่วย  คนพิการ คนบาป คนต่างศาสนา คนแปลกหน้า รักศัตรู รักแบบให้อภัย รักแบบไม่มีเงื่อนไข ใกล้ชิด ประทับนั่ง รับประทานอาหาร สัมผัสร่างกาย รักแบบบิดามารดารักบุตรของตน เอาใจใส่ ละเอียดอ่อน ทราบความต้องการล่วงหน้า อ่อนโยน เมตตา รอคอย ทอดพระเนตร มีมิตรภาพ ไม่ใช่รักแบบเจ้านายกับทาสแต่เป็นแบบมิตรสหาย เพื่อต้องการอยู่กับเราจริง ๆ (เอ็มมานูเอล) ให้กำลังใจ เริ่มต้นใหม่ พระเยซูมักจะหาวิธีที่จะอยู่ในชีวิตของคุณเสมอ เพื่อที่คุณจะสามารถพบกับพระองค์ได้

            แม้ว่าพระคัมภีร์จะเก็บรักษาพระวจนะของพระเยซูไว้เสมอและทันสมัยอยู่เสมอ แต่ก็มีช่วงเวลาที่พระองค์ตรัสกับเราจากภายใน ทรงเรียกเรา และนำเราไปสู่สถานที่ที่ดีกว่า สถานที่ที่ดีกว่านั้นคือหัวใจของพระองค์ ที่นั่น พระองค์ทรงเชื้อเชิญเราให้ค้นหาความเข้มแข็งและความสงบสุขที่สดใหม่ “จงมาหาเรา ผู้ที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้พักผ่อน” (มธ 11:28) ในแง่นี้ พระองค์สามารถตรัสกับศิษย์ของพระองค์ว่า “จงอยู่ในเรา” (ยน 15:4)

            พระวาจาของพระเยซูเจ้าทำให้เราได้เห็นจิตใจที่อ่อนโยนของพระองค์ บางครั้งพระงอค์ทรงสงสาร ทรงกันแสง ร้องไห้คร่ำครวญ ถ้อยคำที่ไพเราะของพระองค์มากที่สุดคือการถูกตรึงบนไม้กางเขน เพราะทรงรักเรา

 

บทที่ 3 นี่คือพระหฤทัยที่รักมาก

            ความศรัทธาต่อพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า ทำให้เราได้ไตร่ตรองพระธรรมล้ำลึกเรื่องพระวจนาตถ์ทรงรับเอากายทั้งครบของพระองค์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ อันเป็นสัญลักษณ์ของความรักอันไม่มีขอบเขตของพระองค์ เรานมัสการพระหฤทัยเพราะเป็น “หัวใจของบุคคลแห่งพระวาจา ซึ่งรวมอยู่กับพระวาจาอย่างแยกไม่ออก” พระคริสต์องค์เดียวกันที่ทรงประสูติที่เบธเลเฮมเพื่อความรักของเรา เสด็จผ่านแคว้นกาลิลีเพื่อทรงรักษาคนป่วย ทรงโอบอุ้มคนบาปและแสดงความเมตตา พระคริสต์ผู้ทรงรักเราจนถึงวาระสุดท้าย ทรงกางพระหัตถ์ออกกว้างบนไม้กางเขน ทรงฟื้นจากความตายและประทับอยู่ท่ามกลางเราอย่างรุ่งโรจน์ในเวลานี้ เป็นแหล่งที่มาของความรอดที่ไหลมาสู่มวลมนุษยชาติ

            ในทางกลับกัน ความรักและหัวใจของมนุษย์ไม่ได้ไปด้วยกันเสมอไป เนื่องจากความเกลียดชัง ความเฉยเมย และความเห็นแก่ตัวสามารถครอบงำหัวใจของเราได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถบรรลุความสมบูรณ์ของเราในฐานะมนุษย์ได้ เว้นแต่เราจะเปิดใจของเราให้ผู้อื่น เราจะกลายเป็นตัวของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ผ่านความรักเท่านั้น ส่วนที่ลึกที่สุดของเรา ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อความรัก จะบรรลุแผนการของพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อเราเรียนรู้ที่จะรัก และหัวใจเป็นสัญลักษณ์ของความรักนั้น

            ภาพลักษณ์ของพระทัยของพระเจ้าพูดกับเราเกี่ยวกับความรักสามประการ คือ

            ประการแรก ความรักอันศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีที่สิ้นสุดของพระองค์

            ประการที่สอง ความรักที่เร่าร้อนที่สุดซึ่งถูกถ่ายทอดเข้าไปในจิตวิญญาณของพระองค์        

            ประการที่สาม ความรักที่รับรู้ได้ด้วยความรู้สึกของพระองค์

            ความรักทั้งสามนี้ไม่ได้แยกจากกัน ขนานกัน หรือแยกจากกัน แต่เมื่อรวมกันแล้ว จะทำหน้าที่และแสดงออกอย่างสอดคล้องและต่อเนื่องกัน เราจึงมองเห็นสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดที่สุดระหว่างความรักอันอ่อนโยนของหัวใจกายภาพของพระเยซูเจ้ากับความรักทางจิตวิญญาณสองแบบ คือ ความรักของมนุษย์และของพระเจ้า” และการทำงานร่วมกันของพระตรีเอกภาพ

 

บทที่ 4 ความรักที่มอบให้ตัวเองเป็นเครื่องดื่ม

            ในพระคัมภีร์แสดงให้เห็นภาพความสำคัญของน้ำทรงชีวิต น้ำแห่งความอุดมสมบูรณ์ น้ำแห่งความรอด น้ำที่ชำระล้าง น้ำที่เป็นเครื่องหมายของพระจิตเจ้า น้ำในทะเลทราย ทะเลแดง ทะเลสาบกาลิลี ทะเลตาย น้ำพุยังเป็นสัญลักษณ์ของเลือดและน้ำที่ไหลออกมาจากพระวรกายของพระเยซูเจ้าจากไม้กางเขน เป็นพลังแห่งความเมตตาและพระหรรษทานที่ไหลหลั่งออกมา

            นักบุญมาร์กาเร็ต แมรี อาลาก็อกได้รับการประจักษ์มาของพระเยซูเจ้าระหว่างปลายเดือนธันวาคม 1673 ถึงเดือนมิถุนายน 1675 (1 ปี ครึ่ง) การประกาศความรักเป็นพื้นฐานของการปรากฏกายครั้งแรก พระเยซูตรัสว่า “ดวงใจอันศักดิ์สิทธิ์ของฉันเต็มไปด้วยความรักที่มีต่อมนุษย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคุณ จนไม่สามารถบรรจุเปลวไฟแห่งความรักอันแรงกล้าไว้ในตัวได้อีกต่อไป จึงต้องเทมันออกมาผ่านคุณและแสดงให้พวกเขาเห็น เพื่อทำให้พวกเขาได้รับสมบัติล้ำค่าซึ่งตอนนี้ฉันเปิดเผยให้คุณเห็น”

            นักบุญโฟสตินา โควัลสกา นำเสนอความศรัทธาต่อพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าอีกครั้ง โดยเน้นย้ำถึงชีวิตอันรุ่งโรจน์ของพระเจ้าผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์และพระเมตตาอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์  นักบุญพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 เชื่อมโยงการไตร่ตรองเกี่ยวกับความเมตตาของพระเจ้าเข้ากับความศรัทธาต่อพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าอย่างใกล้ชิด ทำให้เราได้พบความปลอบโยนใจเมื่อมีความทุกข์

 

บทที่ 5 ความรักเพื่อความรัก

             ในประสบการณ์ทางจิตวิญญาณของนักบุญมาร์กาเร็ต มารีย์ อาลาก็อก เราพบพลังความรักของพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า และเรียกร้องความรักจากเรา แม้ว่าเราจะมีความอ่อนแอและบกพร่องอยู่มากมาย แต่สิ่งที่พระเยซูเจ้ากลับได้รับจากมนุษยชาติ คือความเนรคุณ ความเฉยเมย การดูถูก พระเยซูเจ้าตรัสว่า “สิ่งนี้เป็นสิ่งที่น่าเศร้าสำหรับข้าพเจ้ามากกว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องทนทุกข์ในความทุกข์ทรมานของข้าพเจ้าเสียอีก”             พระเยซูเจ้าปรารถนาที่จะได้รับความรักจากผู้คนในศีลศักดิ์สิทธิ์ที่สุด การรักพระเจ้า รักเพื่อนมนุษย์ทุกคน ความใส่ใจต่อความทุกข์ของผู้อื่น การเป็นน้ำพุที่คนอื่นสามารถดื่มได้

            การเยียวยาภายนอกเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอสำหรับโลกของเรา หรือสำหรับใจของพระคริสต์ หากเราแต่ละคนพิจารณาถึงบาปของตนเองและผลกระทบของบาปที่มีต่อผู้อื่น เราจะตระหนักว่า การเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโลกนี้ยังเรียกร้องความปรารถนาที่จะเยียวยาจิตใจที่บาดเจ็บซึ่งได้รับความเสียหายร้ายแรงที่สุด และความเจ็บปวดนั้นเจ็บปวดที่สุด จิตวิญญาณแห่งการเยียวยาจึง “นำเราไปสู่ความหวังว่าบาดแผลทุกแผลสามารถรักษาได้ แม้ว่าบาดแผลนั้นจะลึกเพียงใดก็ตาม การเยียวยาอย่างสมบูรณ์อาจดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ในบางครั้ง อย่างไรก็ตาม ความตั้งใจที่จะแก้ไขและทำในลักษณะที่เป็นรูปธรรมนั้นมีความจำเป็นต่อกระบวนการคืนดีและกลับสู่ความสงบในใจ”

            ความตั้งใจดีเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีความปรารถนาภายในที่แสดงออกผ่านการกระทำภายนอกของเรา “การชดใช้บาปนั้น หากจะให้คริสตชนสัมผัสใจผู้ถูกกระทำผิดและไม่ใช่แค่การกระทำเพื่อความยุติธรรมแบบชั่วคราว จะต้องมีสองสิ่งที่จำเป็น นั่นคือ การยอมรับความผิดของเราและขออภัย เราต้องประกาศความรักของพระเจ้าในรูปแบบของเรา

 

บทสรุป

            พระสมณสาส์นเวียรฉบับนี้ช่วยให้เราเห็นว่าคำสอนจากพระสมณสาส์น "ขอสรรเสริญองค์พระเจ้า" (Laudato Sì) และพระสมณสาส์นเวียน “ทุกคนต่างเป็นพี่น้องกัน” (Fratelli Tutti) ของพระสันตะปาปาฟรังซิส ไม่เกี่ยวข้องกับการที่เราพบกับความรักของพระเยซูเจ้า เพราะเมื่อเราดื่มความรักนั้นเข้าไป เราก็จะสามารถสร้างสายสัมพันธ์ของภราดรภาพ รับรู้ถึงศักดิ์ศรีของมนุษย์แต่ละคน และทำงานร่วมกันเพื่อดูแลบ้านส่วนรวมของเราได้

             ในโลกที่ทุกสิ่งทุกอย่างซื้อขายกันได้ ความรู้สึกมีค่าของผู้คนดูเหมือนจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่พวกเขาสามารถสะสมได้ด้วยพลังของเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ เราถูกผลักดันให้ซื้อ บริโภค และเบี่ยงเบนความสนใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา ถูกจองจำด้วยความต้องการเร่งด่วนและเล็กน้อยของเรา ความรักของพระเยซูเจ้าไม่อยู่ในกลไกที่ผิดเพี้ยนนี้ แต่มีเพียงความรักเท่านั้นที่สามารถปลดปล่อยเราจากการแสวงหาอย่างบ้าคลั่งที่ไม่มีที่ว่างสำหรับความรักที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป ความรักของพระเยซูเจ้าสามารถมอบหัวใจให้กับโลกของเรา และฟื้นคืนความรักในทุกที่ที่เราคิดว่า ความสามารถในการรักได้สูญหายไปอย่างแน่นอน

            พระศาสนจักรต้องการความรักนั้นเช่นกัน มิฉะนั้น ความรักของพระเยซูเจ้าจะถูกแทนที่ด้วยโครงสร้างและความกังวลที่ล้าสมัย การยึดติดมากเกินไปกับความคิดและความเห็นของตนเอง และความคลั่งไคล้ในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งท้ายที่สุดจะเข้ามาแทนที่ความรักของพระเจ้าอย่างไร้เหตุผล ซึ่งปลดปล่อย ความรักของพระเจ้านั้นมีชีวิตชีวา นำความยินดีมาสู่หัวใจและสร้างชุมชน ส่วนด้านที่บาดเจ็บของพระเยซูเจ้ายังคงหลั่งไหลธารน้ำที่ไม่เคยหมดสิ้น แต่กลับมอบให้กับผู้ที่ปรารถนาจะรักอย่างที่พระองค์ทรงทำครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะความรักของพระองค์เท่านั้นที่สามารถนำมนุษยชาติใหม่มาได้

             ข้าพเจ้าขอให้พระเยซูคริสตเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราประทานให้พระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ยังคงหลั่งน้ำแห่งชีวิตออกมา ซึ่งสามารถรักษาความเจ็บปวดที่เราได้ก่อขึ้น เสริมสร้างความสามารถของเราในการรักและรับใช้ผู้อื่น และเป็นแรงบันดาลใจให้เราเดินทางร่วมกันไปสู่โลกที่ยุติธรรม เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และเป็นพี่น้องกัน จนกว่าจะถึงวันที่เราจะชื่นชมยินดีในการเฉลิมฉลองงานเลี้ยงแห่งอาณาจักรสวรรค์ร่วมกันในที่ประทับของพระเจ้าผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ ผู้ทรงประสานความแตกต่างทั้งหมดของเราให้กลมกลืนกันในแสงสว่างที่ส่องมาจากพระหทัยอันเปิดกว้างของพระองค์อย่างไม่สิ้นสุด และขอให้พระองค์ทรงได้รับพรตลอดไป

 

ประกาศ ณ พระมหาวิหารนักบุญเปโตร กรุงโรม เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2024

ในปีที่สิบสองแห่งพระสมณสมัยของข้าพเจ้า

ฟรังซิส



[1] โอกาสครบรอบ 350 ปีของการประจักษ์มาครั้งแรกของพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าต่อซิสเตอร์มาร์กาเร็ต มารีย์ อาลาก็อก ในปี 1673

[2] ENCYCLICAL LETTER DILEXIT NOS OF THE HOLY FATHER FRANCIS ON THE HUMAN AND DIVINE LOVE OF THE HEART OF JESUS CHRIST; https://www.vatican.va/content/francesco/en/encyclicals/documents/20241024-enciclica-dilexit-nos.html, consulted 9 December 2024

[3] โฮเมอร์ (กรีกโบราณ: Ὅμηρος Hómēros โฮแมโรส; อังกฤษ: Homer) เป็นนักแต่งกลอนในตำนานชาวกรีก ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผู้แต่งมหากาพย์เรื่อง อีเลียด และ โอดิสซีย์ ชาวกรีกโบราณเชื่อกันว่าโฮเมอร์เป็นนักประวัติศาสตร์ แต่นักวิชาการในปัจจุบันกลับมองโฮเมอร์ด้วยความรู้สึกสงสัย เพราะเป็นข้อมูลชีวประวัติที่สืบต่อกันมายาวนานมาก อีกทั้งตัวกาพย์เอง ก็ถูกเล่าแบบปากต่อปากมานานนับศตวรรษ และถูกแก้ไขใหม่จนกลายมาเป็นกวี มาติน เวสต์ เชื่อว่า "โฮเมอร์" ไม่ใช่นามของกวีในประวัติศาสตร์ แต่เป็นเพียงชื่อที่ถูกสร้างขึ้นมา

[4] อีเลียด (Iliad) เป็นหนึ่งในสองบทกวีมหากาพย์กรีกโบราณของโฮเมอร์ ซึ่งเล่าเรื่องราวของสงครามเมืองทรอยในช่วงปีที่สิบอันเป็นปีที่สิ้นสุดสงคราม เชื่อกันว่า อีเลียด ถูกแต่งขึ้นในช่วงศตวรรษที่แปดก่อนคริสตกาล นักวิชาการหลายคนเชื่อว่า บทกวีเรื่องนี้เป็นวรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุดในภาษากรีกโบราณ จึงถือได้ว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นแรกของยุโรป

สถิติการเยี่ยมชม

10765757
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
5826
3222
19527
10718135
24528
129607
10765757
Your IP: 13.58.67.60
Server Time: 2025-02-05 20:04:34

แบบฟอร์ม

instagram

พระศาสนจักร


สื่อ YOUTUBE


Laudato si’

บทเรียนคำสอน





บทภาวนา

พิธีกรรมต่างๆ

เอกสารพระศาสนจักร

บทความคำสอน



KAMSONCHAN

 

   องค์กรคาทอลิก              คณะนักบวช  
 

สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อคริสตศาสนธรรม
แผนกคริสตศาสนธรรม
อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
ศูนย์คริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
สังฆมณฑลจันทบุรี
คณะรักกางเขนแห่งจันทบุรี
มูลนิธิสงเคราะห์เด็ก พัทยา
คามิลเลียนโซเชียลเซนเตอร์ ระยอง

  สังฆมณฑลนครราชสีมา                       
ศูนย์คริสตศาสนธรรม สังฆมณฑลนครราชสีมา
สังฆมณฑลอุบลราชธานี
ศูนย์คริสตศาสนธรรม สังฆมณฑลอุบลราชธานี   
สังฆมณฑลราชบุรี
ศูนย์คริสตศาสนธรรม สังฆมณฑลราชบุรี
ศูนย์คริสตศาสนธรรม สังฆมณฑลราชบุรี
สังฆมณฑลนครสวรรค์
สังฆมณฑลเชียงใหม่
  สังฆมณฑลสุราษฎ์ธานี
สังฆมณฑลอุดรธานี
ศูนย์คริสตศาสนธรรม สังฆมณฑลอุดรธานี

สภาการศึกษาคาทอลิกประเทศไทย
คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ (ยส.)
คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อสุขภาพอนามัย
สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย
สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย (อุดมสาร)
  ชมรมอธิการิณีเจ้าคณะนักบวชแห่งประเทศไทย
คณะภคินีเซนต์ปอลเดอร์ชาร์ต
คณะภคินีศรีชุมพาบาล       
คณะพระมหาไถ่แห่งประเทศไทย
คณะเซนต์คาเบรียล
คณะซาเลเซียน
คณะซาเลเซียน (ซิสเตอร์)
กางเขนแดงสาร

 



JSN Megazine template designed by JoomlaShine.com