ขอให้เราได้เห็น,ได้ยิน,และประกาศว่าพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว (May we see, hear, proclaim that Jesus is Risen)
พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงร่วมพิธีตื่นเฝ้าปัสกา เมื่อวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ 16 เมษายน ค.ศ. 2022 ณ พระมหาวิหารนักบุญเปโตร นครรัฐวาติกัน พร้อมกับผู้แสวงบุญจำนวน 5,000 คน โดยมีพระคาร์ดินัลโจวานนี บัปติสตา เร หัวหน้าคณะพระคาร์ดินัล (Cardinal Giovanni Battista Re, Dean of the College of Cardinals) เป็นประธานในพิธี (เพราะพระองค์ทรงเจ็บที่หัวเข่ามากตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา) โดยพระองค์เป็นผู้เทศน์และประกอบพิธีล้างบาปให้กับคริสตชนใหม่ จำนวน 7 คน
ความใกล้ชิดกับยูเครน (Closeness to Ukraine)
ในพิธีกรรมในวันนี้มีตัวแทนจากประเทศยูเครนเข้าร่วมพิธีหลายคน ตั้งแต่นักการเมืองท้องถิ่นจนถึงรัฐสภาของประเทศ เช่น นาย อีวาน เฟโดรอฟ (Ivan Fedorov) นายกเทศมนตรีเมืองเมลิโทโปล (the mayor of Melitopol) ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการลี้ภัย
จากความสับสนกลายเป็นความสุข (From bewilderment to joy)
พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงนำการไตร่ตรองจากบรรดาสตรีในพระวรสารที่ได้เป็นประจักษ์พยานถึงหลุมศพที่ว่างเปล่าของพระเยซูเจ้า ทำให้เราได้เห็นถึงรุ่งอรุณแรกแห่งชีวิตของพระเจ้า ที่ทอแสงมายังโลกที่มืดมิดของเรา
บรรดาสตรีเหล่านั้นตั้งใจมาที่หลุมศพของพระเยซูเจ้าตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อนำเครื่องหอมมาชโลมพระศพของพระองค์ แต่ต้องแปลกประหลาดใจเมื่อพบว่าหลุมศพนั้นว่างเปล่า และได้พบบุรุษสองคนใส่เสื้อผ้าแวววาว และบอกกับพวกเธอว่า “พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว”
บรรดาสตรีเหล่านั้นได้เห็น ได้ยิน และได้ประกาศเรื่องพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ ซึ่งเราสามารถนำมาไตร่ตรองได้ดังนี้ คือ
บรรดาสตรีได้เห็น (The women saw)
ข่าวแรกของการฟื้นคืนพระชนมชีพเป็น "เครื่องหมายที่ต้องนำมาไตร่ตรอง" เป็นข่าวดีที่เกินคาด น่าอัศจรรย์ และแปลกประหลาดใจ แม้ในตอนแรกบรรดาสตรีจะไม่เชื่อในทันที เพราะมีความสงสัยและความหวาดกลัวอยู่ (พวกเธอคิดว่ามีคนขโมยพระศพของพระเยซูเจ้าไป)
เช่นเดียวกับหลายครั้ง เมื่อเราหันมามองชีวิตของเรา เราอาจจะรู้สึกเบื่อหน่าย และมองอนาคตอย่างหมดหวัง เพราะสิ่งต่าง ๆ รอบกายเราดูเหมือนว่าจะเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรดีขึ้น และทำให้เราหมดความชื่นชมยินดีในชีวิต
ความหวังของปัสกาที่เราได้ประกาศในวันนี้ เป็นการเรียกของพระเจ้าให้หันมามองชีวิตของเราด้วยสายตาอันใหม่ และเชื่อมั่นว่า ความเจ็บปวด ความตาย จะไม่ใช่คำสุดท้ายในชีวิตของเรา ความตายอาจทำให้เรากลัวหรือเศร้า แต่เราจงจดจำว่า “พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนชีพแล้ว”
ให้เราได้เงยหน้าขึ้น เอาผ้าคลุมแห่งความโศกเศร้าของเราออกไป ความทุกข์ทรมานในดวงตาของเรา และเปิดใจสู่ความหวังที่พระเจ้านำมาให้กับเรา
บรรดาสตรีได้เห็น (The women heard)
บุรุษสองคนสวมเสื้อที่เป็นประกายรุ่งโรจน์ยืนอยู่ใกล้ ๆ สตรีเหล่านั้นตกใจกลัวและก้มลงมองพื้นดิน แต่บุรุษทั้งสองคนพูดว่า “ทำไมท่านมองหาผู้เป็นในหมู่ผู้ตายเล่า พระองค์มิได้ประทับอยู่ที่นี่ พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว” (ยน 24:4-5)
“พระองค์มิได้ประทับอยู่ที่” คำพูดนี้เป็นสิ่งที่เราควรจะนำมาไตร่ตรอง ทำความเข้าใจ และมีมุมมองเกี่ยวกับพระเจ้า เรามิควรแสวงหาพระองค์เฉพาะในเวลาที่เราต้องการพระองค์เท่านั้น และลืมพระองค์ไปตลอดทุกวันในชีวิตของเรา โดยเฉพาะเมื่อเราได้มองข้ามบรรดาพี่น้องชายหญิงของเราที่อยู่ในความต้องการ
เราควรจะหลุดพ้นจากวิธีคิด และพฤติกรรมที่เลวร้าย ที่กลายเป็นนักโทษแห่งอดีต ขาดความกล้าที่จะให้ตนเองได้รับการอภัยจากพระเจ้า ดำเนินชีวิตในพระเยซูเจ้า และในความรักของพระองค์ เราต้องยอมรับและพบกับพระเจ้าผู้ทรงชีวิต (มิใช่พระเจ้าที่ตายแล้ว) ผู้ทรงปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเราและโลกของเรา
พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชีพไม่ได้อยู่ในอุโมงค์แล้ว เราอย่าปล่อยหรือคิดอยู่เสมอว่าพระองค์ยังอยู่ในอุโมงค์ หรืออยู่กับความตายอยู่ แต่จงวิ่งไปหาพระองค์ผู้ทรงพระชนมชีพ พระเจ้าผู้ทรงชีวิต อย่ากลัวที่จะวิ่งไปแสวงหาพระองค์ในใบหน้าของเพื่อนพี่น้องของเรา ในความหวัง ความฝัน ความเจ็บปวด และในความทุกข์ทรมาน เพราะพระเจ้าทรงประทับอยู่ที่นั่น
บรรดาสตรีได้ประกาศ (The women proclaimed)
เมื่อบรรดาสตรีได้วิ่งไปประกาศความชื่นชมยินดีแห่งการกลับคืนพระชนมชีพ หัวใจของพวกเธอได้ต้อนรับข่าวอันน่าอัศจรรย์ใจ ที่พระเจ้าทรงเอาชนะบาปและความตายแล้ว ข่าวดีนี้ไม่เพียงแต่ปลอบประโลมพวกเธอให้มีความสุข แต่ยังทำให้เกิดการเป็นศิษย์ธรรมทูต (missionary disciples) ที่จะนำพระวรสารเรื่องการกลับคืนพระชนมชีพไปสู่ทุกคน หลังจากที่บรรดาสตรีได้เห็นและได้ยิน พวกเธอต่างรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากที่ได้บอกข่าวดีนี้ แม้ว่าผู้คนจะคิดว่าพวกเธอบ้าหรือไม่เชื่อก็ตาม
ความปีติยินดีแห่งพระวรสาร (Joy of the Gospel)
พระศาสนจักรควรมีท่าทีนี้ในการประกาศพระวรสาร บรรดาคริสตชนทุกคนถูกเรียกมาให้มีประสบการณ์กับพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ และแบ่งปันประสบการณ์นี้กับผู้อื่นด้วยความชื่นชมยินดี
ให้เราได้นำพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพมาสู่ชีวิตประจำวันของเรา ผ่านทางการสร้างสันติสุข การยุติสงคราม การคืนดี การทำกิจการแห่งความรักต่อผู้ที่อยู่ในความต้องการ สร้างความเท่าเทียมกัน พูดความจริงแทนการโกหก เหนือสิ่งอื่นใด สร้างความเป็นพี่น้องกัน
ความหวังคือชื่อหนึ่งของพระเยซูเจ้า (Hope has a name: the name of Jesus)
พระเยซูเจ้าถูกนำไปวางไว้ในหลุมศพแห่งบาปของเรา ทรงรับแบกภาระของเรา ฟื้นฟูชีวิตของเรา ให้เราได้ฉลองปัสกาพร้อมกับพระองค์ ผู้ทรงพระชนมชีพในวันนี้ พระองค์ทรงเดินท่ามกลางเรา ทรงเปลี่ยนแปลงเรา และทำให้เราเป็นอิสระ ในพระองค์ไม่มีความมืดมิดเสมอไป และแม้กระทั่งค่ำคืนที่มืดมิดที่สุด ดาวประจำรุ่งก็ยังส่องแสงอยู่ ...