ก้าวเดินไปด้วยกันในความเมตตากับผู้ป่วย (journey together in compassion with the sick)

เมื่อวันอังคารที่ 10 มกราคม 2023 พระสันตะปาปาฟรังซิสได้ทรงออกสารถึงคริสตชนทั่วโลก โอกาสวันผู้ป่วยโลกครั้งที่ 31 (31st the World Day of the Sick) ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2023 วันระลึกถึงแม่พระเมืองลูร์ด ทรงเชิญชวนให้ทุกคน ก้าวเดินไปด้วยกันกับผู้ที่อ่อนแอและผู้ที่เจ็บป่วย ซึ่งหลายครั้งพวกเขาถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่เราต้องสร้างความใกล้ชิด ความเมตตา และความอ่อนโยน ต่อพวกเขาทั้งหลาย เช่นเดียวกับคำอุปมาเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดีในพระวรสาร

การปล่อยให้ผู้ป่วยอยู่อย่างโดดเดี่ยว เป็นสิ่งที่ไร้มนุษยธรรม (Illness experienced in isolation is inhumane)

ความเมตตาในการดูแลรักษาผู้ป่วย เป็นการปฏิบัติการก้าวเดินไปด้วยกันแห่งการเยียวยารักษา ซึ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงเรียกเราให้กระทำ เพราะความเจ็บป่วยเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ในชีวิตของเรา อันนำมาซึ่งความโดดเดี่ยว ถูกทอดทิ้ง การละเลยการกระทำดังกล่าวถือเป็นการไร้อารยธรรม

สารแห่งความเป็นพี่น้องกันเช่นเดียวกับชาวสะมาเรียผู้ใจดี (The message of fraternity of the Good Samaritan)

“สภาพของความโดดเดี่ยวและการถูกทอดทิ้ง” ของชายที่ถูกโจรทุบตีและปล้นในคำอุปมาเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดี เหมือนกับประสบการณ์ในปัจจุบันของ “พี่น้องของเรามากเหลือเกิน” ที่ “ถูกทิ้งไว้ในเวลาที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ การปฏิเสธความเป็นพี่น้องกันในโลกปัจจุบันมากที่สุด ที่ทำให้เกิดการทำร้ายชีวิตและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อันเกิดมาจากการใช้ความรุนแรง และความอยุติธรรม

แต่เรื่องราวของชาวสะมาเรียผู้ใจดี แม้ว่าเขาจะถูกดูถูกเหยียดหยามอันเนื่องมาจากชนชาติของเขาจากชาวยิว ว่าเป็นชนชาติที่ไม่สะอาด แต่เขาได้เลือกที่จะดูแลคนแปลกหน้าที่ถูกทำร้ายบนถนน และปฏิบัติกับเขาราวกับว่าเขาเป็นพี่น้อง มองข้ามความแตกต่าง และสร้างโลกแห่งความเป็นพี่น้องกันให้ปรากฎขึ้นในโลกนี้

เราแต่ละคนเปราะบางและอ่อนแอ (We are all fragile and vulnerable)

ในโลกที่ถูกครอบงำด้วย “วัฒนธรรมแห่งประสิทธิภาพที่แพร่หลาย” ซึ่งผลักดันให้เราได้ซ่อนความเปราะบางของเราไว้ใต้พรม “ไม่เหลือที่ว่างสำหรับความอ่อนแอของมนุษย์” ดังนั้น ศาสนจักรจึงถูกเรียกให้ “เปรียบเทียบตัวเองกับแบบอย่างของชาวสะมาเรียผู้ใจดี เพื่อที่เราจะได้เป็น 'โรงพยาบาลภาคสนาม' อย่างแท้จริง เพราะภารกิจของพระศาสนจักรแสดงออกให้เห็นในการดูแล เยียวยา และรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถานการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่กำลังเกิดขึ้นในยุคของเรา”

ความทุกข์ยากของผู้ป่วยจึงเป็นการเรียกร้องให้เราเอาชนะความเฉยเมย และทำให้การเดินทางของพระศาสนจักรช้าลง หากเรามองข้ามพี่น้องของเราที่เจ็บป่วย

การเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน (Moving forward together)

ในขณะที่วันผู้ป่วยโลกเรียกร้องการอธิษฐานและความใกล้ชิดกับผู้ที่ทุกข์ทรมาน ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อปลุกจิตสำนึกประชากรของพระเจ้าทุกคน สถาบันสุขภาพ และภาคประชาสังคมเกี่ยวกับแนวทางใหม่ในการก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน แบบอย่างของชาวสะมาเรียผู้ใจดี สอนเราให้เผชิญหน้ากับปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ในปัจจุบันได้อย่างไร

สิทธิในการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานและความเหมาะสม (The right to basic and decent healthcare)

จากสถานการณ์การแพร่ระบาด ได้สอนเราถึงคุณภาพการให้บริการด้านสาธารณสุขขั้นพื้นฐานของเรา กลยุทธ์ ระบบสวัสดิการ ทรัพยากรที่เรามี และการสร้างเครือข่ายเพื่อร่วมมือกันทำงาน รวมถึงข้อจำกัดด้านต่าง ๆ ด้วย

ชาวสะมาเรียเรียกเจ้าของโรงแรมให้ “ดูแลเขา” (ลก 10:35) เช่นเดียวกับที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกเราแต่ละคนให้ “ไปทำเช่นเดียวกัน” (ลก 10:37) เพื่อสร้างสังคมใหม่แห่งความเป็นพี่น้องกัน ทำลายการกีดกัน การแบ่งแยก สร้างความเป็นเพื่อนบ้าน ช่วยเหลือผู้ที่กำลังหลงทาง และเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม” (Fratelli Tutti No.67)

ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง (Leaving no one behind)

ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางของประชากรของพระเจ้า และพระศาสนจักรก็ก้าวไปพร้อมกันกับพวกเขา ในฐานะสัญลักษณ์ของความเป็นมนุษยชาติ ที่ทุกคนมีคุณค่า ศักดิ์ศรี และไม่มีใครควรถูกทิ้งหรือทิ้งไว้ข้างหลัง

ขอให้ผู้ป่วยทุกคน ผู้ที่ดูแลพวกเขาในครอบครัว นักวิจัย อาสาสมัคร และผู้ที่ตั้งใจที่จะอุทิศตนเองเพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์แห่งความเป็นพี่น้องสากล ทั้งในระดับส่วนตัว ระดับพระศาสนจักร และระดับบ้านเมือง ได้อยู่ในความคุ้มครองและพระพรของพระนางมารีย์เสมอไป