พระสันตะปาปาฟรังซิสเตรียมเสด็จไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกและซูดานใต้ (Pope Francis prepares to travel to strife-torn DRC and South Sudan)
ทั้งสองประเทศต่างได้รับผลกระทบด้วยความรุนแรง การแตกแยก และบาดแผลที่เน่าเปื่อยของลัทธิล่าอาณานิคม โดยพระสันตะปาปาฟรังซิสจะได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษ เพื่อทำให้การเดินทางของพระองค์ในครั้งนี้อยู่ในความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด พร้อมกับอาร์คบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี และผู้ดำเนินการสมัชชาใหญ่ของพระศาสนจักรแห่งสกอตแลนด์จะร่วมเดินทางไปพร้อมกับพระองค์ด้วย
โดยพระสันตะปาปาฟรังซิสได้เคยวางแผนที่จะไปทั้ง 2 ประเทศนี้ในเดือนกรกฎาคม 2022 แต่เนื่องด้วยปัญหาด้านสุขภาพ ทำให้พระองค์ต้องเลื่อนการเดินทางไปคองโกออกไปเป็นระหว่างวันที่ 31 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ และซูดานใต้ระหว่างวันที่ 3-5 กุมภาพันธ์ 2023
การเดินทางเพื่องานอภิบาลในต่างประเทศครั้งที่40 (40th apostolic visit abroad) และถือได้ว่าเป็นประเทศที่ 59-60 ของพระองค์
นักบุญพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 เคยเสด็จเยือนประเทศคองโกในปี 1980 และ 1985 ซึ่งเคยอยู่ในอาณานิคมของเบลเยียมชื่อซาอีร์ (Zaire) ซึ่งเป็นเป็นการเดินทางครั้งแรกของท่านไปยังทวีปแอฟริกา และนักบุญพระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 เสด็จเยือนยูกันดาในปี 1969
นี่เป็นการเยือนทวีปแอฟริกาครั้งที่ 20 ของพระสันตะปาปาฟรานซิส ซึ่งเสด็จเยือนเคนยา ยูกันดา และสาธารณรัฐแอฟริกากลางครั้งที่ 4 ในปี 2015 เยือนโมร็อกโกในเดือนมีนาคม 2019 และเสด็จเยือนโมซัมบิก มาดากัสการ์ และมอริเชียสในปีเดียวกัน
ซี่งในทวีปแอฟริกา มีจำนวนคริสตชนคาทอลิก 20% ของทั่วโลกอาศัยอยู่ และเปอร์เซ็นต์นั้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมีเยาวชนอาศัยอยู่จำนวนมาก ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พระสันตะปาปาฟรังซิสได้ให้ความสนใจทวีปนี้มาโดยตลอด
การเปลี่ยนแปลงตารางเวลาเดิม (Changes to the original schedule)
พระสันตะปาปาฟรานซิสมีความปรารถนาที่จะเดินทางไปยังซูดานใต้ที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์มานานแล้ว แต่สถานการณ์ที่ไม่มั่นคงในประเทศทำให้แผนการเสด็จเยือนมีความซับซ้อน และต้องปรับเปลี่ยนสถานที่การเสด็จเยือน เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครได้รับอันตรายระหว่างการเสด็จเยือนของพระองค์
พระสันตะปาปาฟรังซิสเคยเข้าเงียบร่วมกับบรรดา สำหรับผู้นำและเจ้าหน้าที่คณะสงฆ์ของซูดานใต้ เดือนเมษายน 2019 ในระหว่างนั้นเองแนวความคิดเรื่องการเสด็จเยือนซูดานใต้ก็บังเกิดขึ้น
มีการลงนามข้อตกลงสันติภาพร่วมกันในปี 2018 เพื่อยุติสงครามกลางเมืองนาน 5 ปีที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 400,000 คน แต่ความขัดแย้งทางการเมือง ความยากจน ความเป็นปฏิปักษ์ทางชาติพันธุ์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงทำลายล้างผู้คนที่หิวโหย ความรุนแรง และการขาดธรรมาภิบาลที่ดี