พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชีพทรงเชื้อเชิญให้เรารื้อฟื้นความเชื่อของเราและลุกขึ้นสู่ชีวิตใหม่ (Risen Lord invites us to revive our faith and rise to new life)
พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงประกอบพิธีตื่นเฝ้าปัสกา เมื่อวันเสาร์ที่ 9 เมษายน 2023 ณ พระมหาวิหารนักบุญเปโตร นครรัฐวาติกัน พร้อมกับประกอบพิธีศีลล้างบาปให้กับคริสตชนใหม่จำนวน 8 คน จากแอลเบเนีย สหรัฐอเมริกา ไนจีเรีย อิตาลี และเวเนซุเอลา
ในบทเทศน์ พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงเน้นย้ำว่าสตรีที่เดินทางไปเยี่ยมหลุมฝังศพของพระเยซูเจ้า และพบว่าว่างเปล่านั้น ได้รับประสบการณ์อันเหลือเชื่อที่เปลี่ยนจากความโศกเศร้าอันยิ่งใหญ่ต่อการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้า ไปสู่ความประหลาดใจอย่างที่สุดต่อการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ และการเดินทางจากความโศกเศร้าไปสู่ความสุขที่ยากจะพรรณนานี้เป็นสิ่งที่เราทุกคนถูกเรียกให้แสวงหา
พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ (The Lord is Risen)
สตรีที่เดินทางไปเยี่ยมชมหลุมฝังศพของพระเยซู ได้เปลี่ยนความเศร้าโศกของพวกเขาให้เป็นความประหลาดใจและความสุขได้อย่างไร หลังจากได้เห็นหลุมฝังศพว่างเปล่าและองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับคืนชีพ ผู้เคยเรียกบรรดาอัครสาวกในแคว้นกาลิลี เขาสังเกตว่าการเกิดใหม่ของบรรดาศิษย์และการฟื้นคืนชีพของหัวใจของพวกเขา จะเรียกร้องให้พวกเขากลับไปสู่ต้นกำเนิดของความเชื่อในแคว้นกาลิลีได้อย่างไร
จากความเศร้าไปสู่ความสุข (From sorrow to joy)
บางครั้งเราอาจถูกครอบงำด้วยความโศกเศร้า เมื่อเรามองเพียงปัจจุบันในแง่ของสุสานแห่งความผิดหวัง ความขมขื่น หรือความท้อแท้ โดยเชื่อว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้
บางครั้งเราเก็บความความเชื่อความศรัทธาครั้งแรกของเรา ที่ได้มีกับพระเป็นเจ้า หรือเมื่อเราได้พบกับพระองค์ ว่าเป็นเพียงอดีตที่ผ่านพ้นไป โดยไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตของเราในปัจจุบัน ซึ่งเต็มไปด้วยความมืดมน สงคราม ความเฉยเมย และอนาคตที่ไม่แน่นอน ความท้อแท้นี้อาจนำไปสู่บ่อเกิดแห่งความหวังที่เหือดแห้งในตัวของเราได้
ความทรงจำที่สร้างความหวังขึ้นมาใหม่ (Memory that regenerates hope)
บรรดาสตรีเหล่านั้น ได้รับการเปลี่ยนแปลงในทันที หลังจากได้มีประสบการณ์ในหลุมฝังศพที่ว่างเปล่า และการฟื้นคืนพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งด้วยความหวาดกลัวแต่เปี่ยมล้นด้วยความปิติที่จะบอกบรรดาศิษย์คนอื่น ๆ เกี่ยวกับสิ่งนี้ "ที่จะเปลี่ยนชีวิตและประวัติศาสตร์ไปตลอดกาลว่า “พระคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว!"
พวกเขายังบอกถึงคำเชื้อเชิญของพระเยซูเจ้าให้กลับไปยังแคว้นกาลิลี ซึ่งประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขากับพระเจ้าเริ่มต้นขึ้นเมื่อพระองค์ทรงเรียกบรรดาอัครสาวกเป็นครั้งแรก สิ่งนี้หมายถึงการกลับไปสู่ "ความสง่างามของการเริ่มต้น เพื่อฟื้นความทรงจำที่สร้างความหวังขึ้นมาใหม่ 'ความทรงจำแห่งอนาคต' ที่ประทานให้กับเราโดยองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับคืนชีพ
ก้าวไปข้างหน้าด้วยความหวัง (Moving forward with hope)
การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้า กระตุ้นให้เราก้าวไปข้างหน้าด้วยความหวังและความสุข ให้เราได้ "กลิ้งหินแห่งหลุมฝังศพที่เรามักกักขังความหวังของเราไว้" ด้วยความมั่นใจเต็มที่สำหรับอนาคต นับตั้งแต่พระเยซูเจ้าทรงกลับเป็นขึ้นมา และ "เปลี่ยนทิศทางของประวัติศาสตร์"
การกลับไปยังกาลิลีเรียกร้องให้เรากลับไปสู่ "ความสง่างามในอดีตของเรา" เพื่อรื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับประสบการณ์ของเราเกี่ยวกับความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้า และเมื่อเรา "ได้รับมุมมองใหม่ที่ชัดเจนในการมองเห็นตนเอง โลกรอบตัวเรา และความลึกลับของชีวิตเอง"
“นี่คือสิ่งที่เราถูกขอให้ทำ จดจำและก้าวไปข้างหน้า! ถ้าคุณได้ความรักครั้งแรกกลับคืนมา ความอัศจรรย์ใจและความสุขจากการพบพระเจ้า คุณจะก้าวหน้าต่อไป ดังนั้น จำไว้และเดินหน้าต่อไป”
ระลึกถึงกาลิลีของเราเอง (Remember your own Galilee)
การที่เราได้รู้จักพระเจ้าเป็นการส่วนตัว ในฐานะพระเจ้าผู้ทรงอยู่เคียงข้างเรา ผู้ทรงรู้จักและรักเรา เป็นองค์ประกอบสำคัญที่นี่
“พี่น้อง...จำกาลิลี...กาลิลีของท่าน และการเรียกของท่าน ระลึกถึงพระวาจาของพระเจ้าที่ตรัสโดยตรงกับคุณในช่วงเวลาหนึ่ง จดจำประสบการณ์อันทรงพลังของพระจิตเจ้า”
เมื่อเราระลึกถึงการพบพระเจ้าครั้งแรก ซึ่งเป็นรากฐานของความเชื่อและศรัทธาของเรา เราตอบสนองต่อการเรียกของพระเจ้าให้กลับไปที่กาลิลี เพื่อเฉลิมฉลองการฟื้นคืนชีพขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อหวนนึกถึงประสบการณ์ อารมณ์ และความรู้สึก สิ่งนี้เป็นการต่ออายุและเสริมความแข็งแกร่งให้กับการก้าวไปข้างหน้าของเราในองค์พระผู้เป็นเจ้า และกลิ้งหินออกจากหลุมฝังศพแห่งศรัทธาที่เลือนลางหรือสิ้นหวังของเรา
“จงจำไว้และเดินหน้าต่อไป และค้นพบพระหรรษทานของการฟื้นคืนชีพของพระเจ้าในตัวคุณอีกครั้ง!”
“พี่น้องที่รัก ให้เราติดตามพระเยซูไปที่กาลิลี พบพระองค์ และนมัสการพระองค์ที่นั่น ที่ซึ่งพระองค์ทรงรอคอยเราแต่ละคน ให้เรารื้อฟื้นความงามของช่วงเวลานั้นเมื่อเรารู้ว่าพระองค์ยังมีชีวิตอยู่ และเราตั้งพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งชีวิตของเรา...ให้เราลุกขึ้นสู่ชีวิตใหม่!”