#พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงสอนคำสอนในโรงรถของคอนโดมิเนียมในกรุงโรม (Pope Francis gives catechesis in garage of Roman condominium)
สำหรับการพบปะครั้งที่สามของ 'โรงเรียนแห่งการอธิษฐานภาวนา' (School of Prayer) เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปีศักดิ์สิทธิ์ยูบีลี 2025 พระสันตะปาปาฟรังซิสได้พบกับกลุ่มคริสตชนที่ไม่ได้นัดหมายล่วงหน้าประมาณ 30 ครอบครัว ในโรงรถคอนโดมิเนียมของชาวโรมในเขตวัดบริเวณชานเมืองทางตะวันตกของกรุงโรม ทรงเทศน์สอนว่า ในขณะที่การดิ้นรนต่อสู้เป็นเรื่องปกติธรรมดา เราจะต้องพยายามจะแก้ไข หรือทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม
ครังนี้สถานที่แห่งการพบปะ ไม่ใช่ห้องโถงหรือโรงละคร แต่เป็นโรงจอดรถของคอนโดมิเนียมที่มีพื้นกรวด กำแพงอิฐ ต้นไม้ และไม้เลื้อยอยู่รอบ ๆ โดยมีบานประตูหน้าต่างซ่อนรถที่จอดอยู่และผู้พักอาศัยจ้องมองจากระเบียงห้องของตน
ตรงกลางมีเก้าอี้นวมตัวหนึ่ง ข้างหน้ามีครอบครัว คู่รัก ลูก ๆ เยาวชน และคริสตชนจากวัดนักบุญบริดเจ็ตแห่งสวีเดนอยู่ประมาณ 30 ครอบครัว ซึ่งบางคนมาถึงหลังจากการประชุมได้เริ่มต้นแล้ว สวมรองเท้าแตะ หรือเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ที่บ้านแบบธรรมดา
ในจำนวนนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งรีบวิ่งลงบันไดลงมาและพยายามจะจัดทรงผมของเธอ พร้อมกับพูดว่า “โอ้พระเจ้า ช่างน่าประหลาดใจจริง ๆ คุณน่าจะบอกกับฉันก่อนหน้านี้!”
#ครอบครัวหลังจากเด็กและวัยรุ่น (Families after children and teenagers)
หลังจากพบปะกับเด็ก ๆ และเยาวชนในโครงการโรงเรียนแห่งการอธิษฐานภาวนาในที่อื่น ๆ ที่ผ่านมา ในช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน 2026 พระสันตะปาปาฟรังซิสต้องการพบปะกับครอบครัวต่าง ๆ ในย่านปาลมาโรลา (Palmarola) ในพื้นที่บอร์กาต้า ออตตาเวีย (Borgata Ottavia) ของกรุงโรม ในเขตชานเมืองทางตะวันตกสุดของเมือง
มีคู่สมรสใหม่ ปู่ย่าตายาย กลุ่มเยาวชนของวัด ทารก และเด็กที่มีจุกนมหลอก กลุ่มสตรีจากกลุ่มภาวนาเซเนเกิ้ล (Senegal) ชายที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ และประธานเขต
กล่าวโดยสรุป การต้อนรับพระองค์คือมนุษยชาติที่หลากหลาย ซึ่งได้รับแจ้งในนาทีสุดท้ายของชั่วโมงพิเศษของการสอนคำสอนในช่วงบ่ายของวันนั้น
#การมาถึงและความประหลาดใจ (The arrival and surprise)
เมื่อรถยนต์เฟียตรุ่น 500แอล (Fiat 500L) ของพระสันตะปาปาฟรังซิสขับเข้ามา ณ สถานที่แห่งนั้น ประมาณ 17.00 น. บนทางลาดของอาคารบนถนนปาลมาโรลา (Via Palmarola) โดยที่กำแพงยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ผู้คนมีความเงียบในช่วงแรก เบิกตากว้างสองสามครั้ง และสมาร์ทโฟนบางเครื่องพร้อมที่จะจับภาพเหตุการณ์ดังกล่าว จากนั้นพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงกล่าวทักทายทุกคนว่า “สวัสดีตอนเย็นทุกคน” เสียงปรบมือดังได้เกิดขึ้นพร้อมกับคำพูดว่า “ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ” (Viva il Papa!)
พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงเดินผ่ากลางฝูงชนเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ โดยทรงแจกขนม หยุดถ่ายภาพเซลฟี่สั้น ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งก้าวไปข้างหน้าถามพระองค์ว่า “คุณช่วยอธิษฐานภาวนาเพื่อแม่ของฉันได้ไหม” พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงอวยพรให้กับเธอ
จากนั้น พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงประทับบนเก้าอี้เท้าแขน ทรงตอบคำถามให้กับผู้เข้าร่วมเรียนคำสอนในวันนั้น
#ประการแรก พระสันตะปาปาฟรังซิสดูขบขันกับสถานที่ที่ไม่ธรรมดา: “กำแพง… ต้นไม้… มะเขือเทศ…” จากนั้นทรงทักทายกลุ่มที่อยู่ตรงหน้าพระองค์ว่า “คุณเป็นครอบครัว คนหนุ่มสาว เด็กวัยุร่น ผู้สูงวัย เป็นครอบครัวเสมอ”
#ไม่ท้อแท้กับลมพายุ (Not discouraged by "storms")
พระสันตะปาปาฟรังซิสตรัสเกี่ยวกับครอบครัว ความท้าทาย และความยากลำบาก ความงดงามและศักยภาพสำหรับพระศาสนจักรและสังคม ทั้งในสิ่งที่พระองค์เรียกว่า “บทเทศน์” แบบติดตลก และในช่วงถามตอบยาว 45 นาทีต่อมา
“มาปกป้องครอบครัวซึ่งจำเป็นต่อการเลี้ยงดูลูกกันเถอะ” ในขณะที่พระองค์ทรงรับทราบถึงการทะเลาะวิวาท การโต้เถียง และบางครั้งการแยกจากกันซึ่งพระองค์ทรงเรียกว่า “พายุ” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งไม่ควรทำให้ท้อแท้ใจ
“ถ้าพ่อแม่ทะเลาะกันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ควรสงบศึกก่อนสิ้นวัน เพราะสงครามเย็นในวันรุ่งขึ้นจะเลวร้าย” พระองค์ทรงย้ำหลายครั้ง โดยเน้นคำสำคัญสามคำที่เรียบง่าย แต่ย้ำมาตลอดการเป็นพระสันตะปาปาของพระองค์ นั่นก็คือ #ขอโทษ #ได้โปรด และ #ขอบคุณ แม้แต่การขอบคุณที่เรียบง่ายที่สุดก็ยังสร้างความแตกต่างได้
“ขอบคุณที่ทำอาหารเย็นดี ๆ นี้…” แม้คำพูดที่พูดออกไปไม่ได้ทำให้สถานการณ์มันดีขึ้น ก็ให้แสดงท่าทีเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อพยายามสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นอีกครั้ง และเริ่มต้นชีวิตใหม่ในวันรุ่งขึ้น
#เด็กๆกำลังดูพวกเราอยู่ ("The children are watching us")
ขั้นตอนเล็ก ๆ น้อย ๆ ในแต่ละวันเหล่านี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเด็ก ๆ “เด็ก ๆ กำลังดูพวกเราอยู่” ดังเช่นภาพยนตร์ปี 1944 ของวิตโตริโอ เด ซิกา (Vittorio De Sica) และเตือนว่าเมื่อพวกเขาดูพ่อแม่ทะเลาะกัน พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานเมื่อพ่อแม่ของพวกเขาไม่เข้าใจกัน
ผู้ปกครองที่แยกทางกันไม่ควรพูดจาดูถูกกัน แต่ควรให้ความรู้แก่บุตรหลานเกี่ยวกับความเคารพซึ่งกันและกัน
#เยาวชนจงสืบสานประวัติศาสตร์ (The mandate to young people: carry forward the history)
คนหนุ่มสาว 4 คนจากวัด ได้ถามพระสันตะปาปาฟรังซิสว่า ทุกวันนี้เราจะเพิ่มความเชื่อของเราได้อย่างไร? พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงตอบว่า “วิธีเดียวคือการประจักษ์พยาน พวกคุณมีหน้าที่ที่ในการสืบสานประวัติศาสตร์ เมื่อเราล้มลงเราต้องรีบลุกขึ้นใหม่ และก้าวต่อไปข้างหน้า สิ่งสวยงามอย่างหนึ่งเกี่ยวกับคนหนุ่มสาว คือการที่พวกคุณลุกขึ้น เราทุกคนล้มลงในชีวิตได้ แต่สิ่งสำคัญคืออย่าหยุดหากคุณล้มลง”
#พ่อผู้เป็นผู้นำ ("A father who leads...")
ชายคนหนึ่งแสดงความปรารถนาที่จะมีวัดที่ใหญ่ขึ้นในบริเวณนั้น เพื่อใช้เป็นที่นัดพบสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นทั้งหมด
ผู้หญิงคนหนึ่งพูดออกมาว่า “ฉันอยากจะร้องไห้ ขอบคุณพระสันตะปาปาที่เสด็จมาที่นี่ นับตั้งแต่วันเด็กสากลเป็นต้นมา จากสุนทรพจน์ของพระองค์และสิ่งที่มาถึงเรา พระองค์คือบิดาที่เป็นผู้นำชุมชนใหญ่ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แท้จริง การได้เห็นพระองค์ในที่นี่หน้ากำแพงอิฐ เป็นสิ่งที่น่าสะเทือนใจมากที่สุด เพราะพรุ่งนี้เราจะมีการฉลองวัดของเรา วัดที่มีฝนรั่วอยู่ตลอดเวลา เราไม่มีแม้แต่ยางมะตอยที่จะซ่อมแซมมัน แต่มันก็ไม่สำคัญ เราจะใช้มันต่อไป และการปรากฏตัวของพระองค์ที่นี่ ทำให้เรารู้สึกว่า พระองค์เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนของเรา”
#ปรีชาญาณของผู้สูงอายะและคำสัญญาของเด็กๆ (The elderly, wisdom. The children, a promise)
ท่ามกลางเสียงหัวเราะและเสียงปรบมือ พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงเชื่อมโยงประเด็นสุดท้ายนี้ว่า “พระศาสนจักรเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในชุมชน” และทรงขอร้องอีกครั้งหนึ่งว่า #อย่าละเลยผู้สูงอายุ และเลี้ยงดูลูก ๆ วัดที่ไม่มีเสียงของเด็กและละเลยผู้สูงอายุ ไม่ใช่ชุมชนคริสตชนที่แท้จริง อย่าลืมว่าผู้สูงอายุคือความทรงจำ ส่วนบรรดาเด็ก ๆ คือพระสัญญา”
“อย่าลืมผู้สูงอายุที่เป็นความทรงจำของประชากรของพระเจ้า เป็นเรื่องจริงที่บางครั้งผู้สูงอายุก็อาจจะน่าเบื่อ มักจะพูดถึงสิ่งเดียวกันเสมอ เช่น สงคราม ฯลฯ แต่เรามีความอ่อนโยนอย่างมาก “เด็ก ๆ เข้าใจภาษาแห่งความอ่อนโยน”
#การรักและกันแบบครอบครัว (Loving each other as family)
เมื่อพูดถึงลูก ๆ มีพ่อสองคนเป็นฝาแผดกัน หนึ่งในนั้นถามพระสันตะปาปาว่า จะรักษาความเชื่อในช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านี้ได้อย่างไร? และจะเลี้ยงดูลูกให้ใกล้ชิดกับพระศาสนจักรได้อย่างไร? แม้ว่าพวกเขาจะได้รับศีลกำลังแล้วก็ตาม
“การเป็นประจักษ์พยาน” เป็นคำตอบอีกครั้ง โดยพื้นฐานแล้วเป็นคนที่เกิดในครอบครัว “คำแนะนำประการแรกคือ พ่อแม่ต้องรักกัน เพราะลูก ๆ ต้องรู้สึกว่าพ่อกับแม่รักกัน ถ้าต้องทะเลาะกันก็อย่าทำต่อหน้าลูก ส่งพวกเขาเข้านอนจากนั้นจึงโต้เถียงมากเท่าที่พวกคุณต้องการ”
#การให้ความรู้อย่างมีอิสระ (Educating with freedom)
พื้นฐานที่เท่าเทียมกันคือการพูดคุยกับลูก ๆ ของคุณ “อย่าหยุดที่จะพูดคุยกับพวกเขา การเรียนรู้เกิดขึ้นผ่านการพูดคุย โดยไม่ต้อง "ทิ้งพวกเขาไว้ตามลำพัง" โดยไม่สร้างเรื่องอื้อฉาวหรือกดดันพวกเขา แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้พวกเขาเป็นอิสระ นี่เป็นแนวทางที่ดีที่สุด
“ทำให้พวกเขาเข้าใจว่า พวกเขาสามารถพูดได้ทุกเรื่อง เกี่ยวกับทุกสิ่ง”
“บทเรียนของชีวิตเรียนรู้ได้ที่บ้าน ไม่ใช่จากคนอื่นที่จะสอนให้ใครรู้อะไร”
#การทักทายและมอบของขวัญ (Greetings and gifts)
การเรียนคำสอนจบลงด้วยการที่พระสันตะปาปาฟรังซิส ทรงทักทายทุกคนที่มาร่วมงาน สวมกอด แจกสายประคำ ถ่ายรูป และแม้กระทั่งสนทนากับ “คุณย่ามาเรีย” ผ่านทางสไกป์ (Skype) ทางโทรศัพท์ของหลานชาย “สวัสดี สวดเผื่อฉันด้วย!” พระสันตะปาปาฟรังซิสตรัสกับเธอ
เพื่อเป็นของขวัญสำหรับครอบครัวเหล่านี้ พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงมอบรูปพระแม่มารีอุ้มพระกุมารเยซูเจ้าให้พวกเขา พร้อมกับตรัสว่า "เก็บไว้ในบ้าน" เพื่อเป็นความทรงจำที่จับต้องได้ของการพบกันที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อน
#ก้าวไปกับโป๊ป 593 #kamsonchanthaburi #catechesis #catechesisofchanthaburi #คำสอนจันท์ #chanthaburidiocese #สังฆมณฑลจันทบุรี