#บทเพลงสดุดีเป็นคำอธิษฐานภาวนาของพระเยซูเจ้ามีไว้สำหรับทุกช่วงเวลาของชีวิต (Pope at Audience: The Psalms, 'the prayer of Jesus,' are for all seasons)
เมื่อวันพุธที่ 19 มิถุนายน 2024 โอกาสเข้าเฝ้าทั่วไป พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงเตือนให้บรรดาสัตบุรุษมีส่วนร่วมในการเป็น 'ซิมโฟนีแห่งการอธิษฐานภาวนา' โดยการใช้บทเพลงสดุดีมาเป็นบทสวด เช่นเดียวกับที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ
พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงดำเนินการสอนคำสอนของพระองค์ #เรื่องพระจิตเจ้า ในสัปดาห์นี้พระองค์ทรงนำการไตร่ตรองเป็นพิเศษเกี่ยวกับบทเพลงสดุดี อีกทั้งเป็นการเตรียมตัวสำหรับปีศักดิ์สิทธิ์ยูบีลี ตามที่พระองค์ทรงประกาศให้ปี 2024 เป็นปีแห่งการอธิษฐานภาวนา
#ซิมโฟนีแห่งการอธิษฐานภาวนา (Symphony of prayer)
“การสอนคำสอนในวันนี้ ข้าพเจ้าอยากจะเตือนว่า พระศาสนจักรมีบทเพลงซิมโฟนีแห่งการอธิษฐานภาวนาอยู่แล้ว ซึ่งผู้แต่งคือพระจิตเจ้า และนั่นคือหนังสือบทเพลงสดุดี”
หนังสือบทเพลงสดุดีก็เหมือนกับซิมโฟนีอื่น ๆ มี "การเคลื่อนไหว" ที่หลากหลาย กล่าวคือ การอธิษฐานภาวนาประเภทต่าง ๆ เช่น การสรรเสริญ การขอบพระคุณ การวิงวอน การคร่ำครวญ การบรรยาย การไตร่ตรองอย่างมีสติ และอื่น ๆ ทั้งในรูปแบบส่วนตัว และในรูปแบบการร้องประสานเสียงของประชากรทั้งหมด"
"เป็นบทเพลงที่องค์พระจิตเจ้าเองทรงวางไว้บนริมฝีปากของเจ้าสาว" หนังสือทุกเล่มในพระคัมภีร์ได้รับแรงบันดาลใจจากพระจิตเจ้า เป็นพิเศษสำหรับบทเพลงสดุดีที่ “เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจทางบทกวี” และถูกนำมาใช้ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่อีกด้วย
"สิ่งที่เรายกย่องสดุดีมากที่สุดก็คือ เป็นคำอธิษฐานภาวนาของพระเยซูเจ้า พระนางมารีย์ อัครสาวก และคริสตชนทุกยุคทุกสมัยก่อนหน้าเรา"
#เมื่อเราสวดบทเพลงสดุดี (When we recite Psalms)
เมื่อเราสวดบทเพลงสดุดี พระเจ้าทรงฟังเราที่กำลังบรรเลงซิมโฟนีแห่งการอธิษฐานภาวนา เฉกเช่นเดียวกับชุมชนของบรรดานักบุญ
หนังสือกิจการอัครสาวกในพันธสัญญาใหม่ ได้อ้างถึงบทเพลงสดุดีจากหนังสือพันธสัญญาเดิม เกี่ยวกับการเสด็จมาในโลกของพระเยซูเจ้าว่า “ข้าพเจ้ามาเพื่อปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์” (กจ 10:7 เทียบ สดด 40:9) และในพระวรสารของนักบุญลูกาได้บันทึกคำพูดของพระเยซูเจ้าก่อนจะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ซึ่งเป็นถ้อยคำจากหนังสือเพลงสดุดีที่ว่า ““พระบิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้ามอบจิตของข้าพเจ้าไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” (ลก 23:46 เทียบ สดด 31:6)
การใช้บทเพลงสดุดีในพันธสัญญาใหม่ ในงานเขียนของบรรดาปิตาจารย์ และในพระศาสนจักรทั้งหมด ได้มีบทบาทสำคัญในโลกของเราจนกระทั่งทุกวันนี้
“เราไม่สามารถดำเนินชีวิตจากมรดกในอดีตเท่านั้น แต่เราจำเป็นต้องทำให้บทเพลงสดุดีของเราเป็นคำอธิษฐานภาวนา ดังคำที่กล่าวว่า “เราต้องทำตัวของเราให้กลายเป็นพระคัมภีร์” ด้วยการนำมาอธิษฐานภาวนาและนำไปปฏิบัติจนกระทั่งเป็นชีวิตของเรา
#สำหรับทุกช่วงเวลาของชีวิต (For all seasons)
เมื่อบทเพลงสดุดีหรือข้อพระคัมภีร์ "พูดกับหัวใจของเรา เป็นการดีที่จะกล่าวซ้ำและนำไปอธิษฐานภาวนาในระหว่างวัน"
เนื่องจากบทเพลงสดุดีเป็นคำอธิษฐานภาวนา “สำหรับทุกสถานการณ์ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสภาวะจิตใจ หรือความต้องการใด ๆ ที่เกิดขึ้น เราสามารถค้นพบคำพูดที่ดีที่สุดได้ในบทเพลงสดุดี ซึ่งเราสามารถนำมาเป็นคำอธิษฐานภาวนา และสวดซ้ำไปซ้ำมาได้ เพื่อที่จะทำให้บังเกิดผลในชีวิตของเรา ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า "บทเพลงสดุดีเหล่านี้ได้รับแรงบันดาลใจจากพระเจ้าและ 'ลมหายใจ' ของพระองค์ ทุกครั้งที่เราอ่านด้วยความศรัทธา"
#เพลงสดุดีจะอยู่เคียงข้างเราเสมอ (Always a Psalm to accompany us)
ถ้าเรารู้สึกถูกกดดัน หวาดกลัว หรือมีความรัก และชื่นชมยินดี มีบทเพลงสดุดีบทหนึ่งที่สามารถอยู่เคียงข้างเราได้เสมอ และเสริมสร้างคำอธิษฐานภาวนาของเรา โดยไม่ลดลงเหลือเพียงแค่การวิงวอนขอแต่ความต้องการเท่านั้น
บทเพลงสดุดีช่วยให้เราเปิดใจรับคำอธิษฐานภาวนาที่มุ่งเน้นไปที่ตัวของเราเองน้อยลง แต่เน้นไปที่การสรรเสริญ การอวยพร และการขอบพระคุณพระเจ้ามากยิ่งขึ้น
ขอให้พระจิตเจ้า "ทำให้ปีแห่งการเตรียมตัวสำหรับปีศักดิ์สิทธิ์นี้ เป็นบทเพลงแห่งการอธิษฐานภาวนา"
#ก้าวไปกับโป๊ป 600 #PopeatAudience
#chanthaburidiocese